
วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550
วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2550

จุลินทรีย์
โดยทั่วไปหมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องอาศัยกล้องจุลทรรศน์ ช่วยในการมองเห็น จุลินทรีย์โดยทั่วไปหมายรวมถึง สาหร่าย โปรโตซัว ฟังใจ (ยีสต์และรา) แบคทีเรีย และไวรัส แต่ในทางอาหารแล้วเมื่อพูดถึงจุลินทรีย์ส่วนใหญ่จะคำนึงถึง แบคทีเรีย ยีสต์และรา
ความเป็นมา
งานจุลินทรีย์เป็นงานหน่วยหนึ่งที่อยู่ภายใต้ฝ่ายควบคุมคุณภาพ สังกัดสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มีบุคลากรที่ปฏิบัติงานอยู่จำนวน 8 คน มีตำแหน่งเป็น "นักวิจัย" บุคลากรที่ทำงานในหน่วยนี้เป็นผู้ที่มีความรู้ ประสบการณ์ ความชำนาญ ในสาขาจุลชีววิทยา สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร ภาระหน้าที่ของงานจุลินทรีย์ประกอบด้วยหน้าที่หลัก 2 งานคือ
1. งานบริการวิชาการแก่สังคม งานบริการวิชาการที่ได้เริ่มให้บริการมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางจุลชีววิทยาของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นโดยสถาบันฯ เอง และตรวจวิเคราะห์คุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องของโครงการหลวง ตั้งแต่เริ่มสร้างโรงงานแรกจนปัจจุบันมีอยู่ถึง 4 โรงงานในจังหวัดต่าง ๆ นอกจากนี้ก็มีบริษัทเอกชนส่งตัวอย่างสับปะรดในน้ำเชื่อมบรรจุกระป๋องมาให้ตรวจวิเคราะห์เพื่อนำผลไปใช้ประกอบการส่งออก จากวันนั้นจนถึงวันนี้งานจุลินทรีย์ได้พัฒนาวิธีการตรวจวิเคราะห์ให้ทันตามกับสถานการณ์ใหม่ ๆ ขอบเขตการให้บริการตรวจวิเคราะห์ได้เพิ่มขึ้นจนสามารถให้บริการต่ออุตสาหกรรมอาหารในบ้านเราทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ครบตามข้อกำหนดของกฎหมายอาหารภายในประเทศและต่างประเทศ งานที่ให้บริการมีดังนี้ :
1.1 บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางจุลชีววิทยาของผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารพร้อมบริโภค อาหารแช่เย็น อาหารแช่เยือกแข็ง และวัตถุดิบทางการเกษตร เพื่อออกใบรายงานผลวิเคราะห์ทั่ว ๆ ไป
1.2 บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพจุลชีววิทยาของผลิตภัณฑ์อาหารบรรจุกระป๋องและบรรจุขวด พวกผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำพริก รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ ที่บรรจุในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท เพื่อนำผลไปประกอบการออกใบรับรองสุขภาพ (Health Certificate) หรือใบรับรองสุขอนามัย (Sanitary Certificate) ในการส่งออกต่างประเทศ
1.3 บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางจุลชีววิทยาของผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อนำผลไปใช้ประกอบการขอขึ้นทะเบียนอาหารของ อย.
1.4 บริการตรวจวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุการเสียของอาหารกระป๋องหรืออาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทเนื่องจากจุลินทรีย์
2. งานวิจัย เริ่มจากอดีตจนถึงปัจจุบัน งานวิจัยที่เกี่ยวกับจุลินทรีย์ในอาหารได้มีการพัฒนา ศึกษา วิจัยมาตลอดตามเหตุการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เราสามารถแบ่งกลุ่มงานวิจัยด้านนี้คือ
2.1 งานศึกษาวิจัยเรื่องความปลอดภัยในอาหารจากจุลินทรีย์ มีการศึกษาชนิดของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ ทั้งตัวที่เป็นเชื้อโรคตามข้อกำหนดของกฎหมาย (E. coli, S. aureus, C. perfringens, Salmonella, B. cereus) และเชื้อโรคตัวใหม่ ๆ เช่น Listeria monocytogenes E. coli 0 157 : H7 และ Campyrobacter เป็นต้น ชนิดของอาหารที่ได้ศึกษาคือ อาหารหาบเร่แผงลอย อาหารพร้อมบริโภคในซุปเปอร์มาร์เก็ต แฮมเบอร์เกอร์ น้ำพริกสำเร็จรูป อาหารหมักดอง (เค็มบักนัด หอยดอง ปูเค็ม กุ้งจ่อม) ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ และไอศกรีม
2.2 งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ งานวิจัยในกลุ่มนี้จะมีการศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้จากจุลินทรีย์ไปเปลี่ยนองค์ประกอบของสารอาหารจนได้เป็นสารตัวใหม่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ เช่น การทำโยเกิร์ต เครื่องดื่มกรดต่ำจากข้าวและข้าวโพด การทำเทมเป้จากกากถั่วเหลือง น้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ การผลิตไวน์ผลไม้ และการทำวุ้นน้ำมะพร้าว เป็นต้น นอกจากการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์โดยทางตรงแล้ว ยังมีการวิจัยถึงการผลิตสารพวก bacteriocin ในจุลินทรีย์บางกลุ่มเพื่อนำไปใช้ยับยั้งการเกิดการเน่าเสียในอาหารบางประเภทได้
2.3 งานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีการหมัก มีงานวิจัยเกี่ยวกับการผลิตแอลกอฮอล์จากวัตถุดิบชนิดต่าง ๆ เช่น มันสำปะหลัง กากน้ำตาล น้ำอ้อย และข้าวเหนียว ศึกษาวิจัยถึงสายพันธุ์ของยีสต์ที่สามารถทนอุณหภูมิสูงระหว่างการหมักและทนสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี เพื่อให้ได้แอลกอฮอล์เปอร์เซ็นสูงสุด
2.4 งานรวบรวมและเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์ ได้แก่ แบคทีเรีย ยีสต์ และรา เพื่อจัดทำเป็นศูนย์รวบรวมจุลินทรีย์ (IFRPD Cultures Collection) เพื่อใช้ในการศึกษา วิจัย คัดเลือก และปรับปรุงสายพันธุ์จุลินทรีย์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาด้านการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ (Starter Inoculum) สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารหมักด้วย
จุลินทรีย์ตามที่กล่าวมานี้คือ แบคทีเรีย ยีสต์และรา เป็นสิ่งมีชีวิตที่ให้ทั้งประโยชน์และโทษ ผลงานวิจัยในแง่มุมต่าง ๆ นี้ได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารต่าง ๆ มาโดยตลอด เพียงแต่ว่าจะมีหน่วยงานใดทั้งภาครัฐหรือภาคเอกชน จะเล็งเห็นคุณค่าของงานวิจัยเหล่านี้หรือไม่ หรือจะนำผลงานเหล่านี้ไปใช้เป็นข้อกำหนดหรือใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านอาหารหมัก หรือใช้ในการร่างมาตรฐานอาหารต่อไปหรือไม่เท่านั้น ส่วนด้านงานบริการนั้นทางสถาบันอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังคงให้ความช่วยเหลือต่อสังคมตลอดไป
ความเป็นมา
งานจุลินทรีย์เป็นงานหน่วยหนึ่งที่อยู่ภายใต้ฝ่ายควบคุมคุณภาพ สังกัดสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มีบุคลากรที่ปฏิบัติงานอยู่จำนวน 8 คน มีตำแหน่งเป็น "นักวิจัย" บุคลากรที่ทำงานในหน่วยนี้เป็นผู้ที่มีความรู้ ประสบการณ์ ความชำนาญ ในสาขาจุลชีววิทยา สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร ภาระหน้าที่ของงานจุลินทรีย์ประกอบด้วยหน้าที่หลัก 2 งานคือ
1. งานบริการวิชาการแก่สังคม งานบริการวิชาการที่ได้เริ่มให้บริการมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางจุลชีววิทยาของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นโดยสถาบันฯ เอง และตรวจวิเคราะห์คุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องของโครงการหลวง ตั้งแต่เริ่มสร้างโรงงานแรกจนปัจจุบันมีอยู่ถึง 4 โรงงานในจังหวัดต่าง ๆ นอกจากนี้ก็มีบริษัทเอกชนส่งตัวอย่างสับปะรดในน้ำเชื่อมบรรจุกระป๋องมาให้ตรวจวิเคราะห์เพื่อนำผลไปใช้ประกอบการส่งออก จากวันนั้นจนถึงวันนี้งานจุลินทรีย์ได้พัฒนาวิธีการตรวจวิเคราะห์ให้ทันตามกับสถานการณ์ใหม่ ๆ ขอบเขตการให้บริการตรวจวิเคราะห์ได้เพิ่มขึ้นจนสามารถให้บริการต่ออุตสาหกรรมอาหารในบ้านเราทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ครบตามข้อกำหนดของกฎหมายอาหารภายในประเทศและต่างประเทศ งานที่ให้บริการมีดังนี้ :
1.1 บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางจุลชีววิทยาของผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารพร้อมบริโภค อาหารแช่เย็น อาหารแช่เยือกแข็ง และวัตถุดิบทางการเกษตร เพื่อออกใบรายงานผลวิเคราะห์ทั่ว ๆ ไป
1.2 บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพจุลชีววิทยาของผลิตภัณฑ์อาหารบรรจุกระป๋องและบรรจุขวด พวกผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำพริก รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ ที่บรรจุในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท เพื่อนำผลไปประกอบการออกใบรับรองสุขภาพ (Health Certificate) หรือใบรับรองสุขอนามัย (Sanitary Certificate) ในการส่งออกต่างประเทศ
1.3 บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางจุลชีววิทยาของผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อนำผลไปใช้ประกอบการขอขึ้นทะเบียนอาหารของ อย.
1.4 บริการตรวจวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุการเสียของอาหารกระป๋องหรืออาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทเนื่องจากจุลินทรีย์
2. งานวิจัย เริ่มจากอดีตจนถึงปัจจุบัน งานวิจัยที่เกี่ยวกับจุลินทรีย์ในอาหารได้มีการพัฒนา ศึกษา วิจัยมาตลอดตามเหตุการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เราสามารถแบ่งกลุ่มงานวิจัยด้านนี้คือ
2.1 งานศึกษาวิจัยเรื่องความปลอดภัยในอาหารจากจุลินทรีย์ มีการศึกษาชนิดของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ ทั้งตัวที่เป็นเชื้อโรคตามข้อกำหนดของกฎหมาย (E. coli, S. aureus, C. perfringens, Salmonella, B. cereus) และเชื้อโรคตัวใหม่ ๆ เช่น Listeria monocytogenes E. coli 0 157 : H7 และ Campyrobacter เป็นต้น ชนิดของอาหารที่ได้ศึกษาคือ อาหารหาบเร่แผงลอย อาหารพร้อมบริโภคในซุปเปอร์มาร์เก็ต แฮมเบอร์เกอร์ น้ำพริกสำเร็จรูป อาหารหมักดอง (เค็มบักนัด หอยดอง ปูเค็ม กุ้งจ่อม) ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ และไอศกรีม
2.2 งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ งานวิจัยในกลุ่มนี้จะมีการศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้จากจุลินทรีย์ไปเปลี่ยนองค์ประกอบของสารอาหารจนได้เป็นสารตัวใหม่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ เช่น การทำโยเกิร์ต เครื่องดื่มกรดต่ำจากข้าวและข้าวโพด การทำเทมเป้จากกากถั่วเหลือง น้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ การผลิตไวน์ผลไม้ และการทำวุ้นน้ำมะพร้าว เป็นต้น นอกจากการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์โดยทางตรงแล้ว ยังมีการวิจัยถึงการผลิตสารพวก bacteriocin ในจุลินทรีย์บางกลุ่มเพื่อนำไปใช้ยับยั้งการเกิดการเน่าเสียในอาหารบางประเภทได้
2.3 งานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีการหมัก มีงานวิจัยเกี่ยวกับการผลิตแอลกอฮอล์จากวัตถุดิบชนิดต่าง ๆ เช่น มันสำปะหลัง กากน้ำตาล น้ำอ้อย และข้าวเหนียว ศึกษาวิจัยถึงสายพันธุ์ของยีสต์ที่สามารถทนอุณหภูมิสูงระหว่างการหมักและทนสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี เพื่อให้ได้แอลกอฮอล์เปอร์เซ็นสูงสุด
2.4 งานรวบรวมและเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์ ได้แก่ แบคทีเรีย ยีสต์ และรา เพื่อจัดทำเป็นศูนย์รวบรวมจุลินทรีย์ (IFRPD Cultures Collection) เพื่อใช้ในการศึกษา วิจัย คัดเลือก และปรับปรุงสายพันธุ์จุลินทรีย์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาด้านการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ (Starter Inoculum) สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารหมักด้วย
จุลินทรีย์ตามที่กล่าวมานี้คือ แบคทีเรีย ยีสต์และรา เป็นสิ่งมีชีวิตที่ให้ทั้งประโยชน์และโทษ ผลงานวิจัยในแง่มุมต่าง ๆ นี้ได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารต่าง ๆ มาโดยตลอด เพียงแต่ว่าจะมีหน่วยงานใดทั้งภาครัฐหรือภาคเอกชน จะเล็งเห็นคุณค่าของงานวิจัยเหล่านี้หรือไม่ หรือจะนำผลงานเหล่านี้ไปใช้เป็นข้อกำหนดหรือใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านอาหารหมัก หรือใช้ในการร่างมาตรฐานอาหารต่อไปหรือไม่เท่านั้น ส่วนด้านงานบริการนั้นทางสถาบันอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังคงให้ความช่วยเหลือต่อสังคมตลอดไป

แบคทีเรีย
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป มีทั่งชนิดที่เป็นโทษคือทำให้เกิดโรค เจ็บป่วยและชนิดที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย หรือบางชนิดเป็นแบคทีเรียประจำถิ่นในร่างกายของเรา เพื่อช่วยสร้างความสมดุล และคอยป้องกันเชื้อโรคที่เป็นอันตรายได้ระดับหนึ่ง แต่ในบางครั้งเมื่อร่างกายเกิดความอ่อนแอลง เชื้อประจำถิ่นอาจเพิ่มจำนวนมากเกินไปจนทำให้เสียสมดุลและเกิดความผิดปกติได้แบคทีเรีย จะมีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถมองด้วยตาเปล่า ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น เช่นอาการเจ็บคอ ทอลซินอักเสบแดง มีเสมหะเป็นสีเหลือง/เขียว แผลเป็นหนอง ปวด บวม ร้อน เป็นต้น ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายได้เข้ามาสู่ร่างกายตามช่องทางต่างๆเช่น ปาก คอ หู ตา จมูก ทวาร บาดแผล เป็นต้น เมื่อแบคที่เรียที่เป็นอันตรายเข้ามาในร่างกายเรา ธรรมชาติร่างกายของมนุษย์ก็จะมีหน่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่นเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆที่จะมากำจัดเชื้อโรค ถ้าหน่วยทหารร่างกายชนะคือสามารถกำจัดทำลายสิ่งแปลกได้ ร่างกายอาจผิดปกติเพียงเล็กน้อยหรืออาจไม่มีอาการอะไรเลย แต่ถ้าร่างกายไม่สามารถกำจัดได้ทัน เนื่องจากเชื้อโรคมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เข้ามาแบบกองโจรแล้วรีบหลบซุ่มฟักตัวในจุดที่เม็ดเลือดขาวตามไม่พบ หรือในช่วงร่างกายกำลังอ่อนแอ กองทัพเม็ดเลือดขาวไม่แข็งแรงหรือมากพอที่จะกำจัด ในระหว่างการต่อสู้เพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอม จะมีการระดมเม็ดเลือดขาวมาในบริเวณติดเชื้ออย่างมาก ทำให้เห็นเป็นหนอง มีอาการปวด บวม แดง เป็นต้น ถ้ากองกำลังเม็ดเลือดขาวด่านแรกสู้ไม่ได้ เจ้าเชื้อโรคก็จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยต่างๆนานา ตามลักษณะของเชื้อ เช่น ท้องร่วง ท้องเสีย เจ็บคอ มีไข้ ปอดบวมได้มากมายเมื่อเกิดอาการผิดปกติข้างต้นขึ้น เมื่อมาถึงแพทย์บางชนิดแพทย์มีความแน่ใจก็จะสามารถให้ยาต่อต้านเชื้อโรคที่เรียกว่า ยาปฏิชีวนะ หรือ แอนตีไบโอติค หรือ ยาแก้อักเสบ ได้เลยทันทีเพื่อให้ไปช่วยทำลายยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และให้เม็ดเลือดขาวมากำจัดต่อจนจบ ร่างกายก็จะสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้ตามเดิมแต่อีกส่วนหนึ่ง แพทย์จำเป็นต้องทราบชนิดที่แน่นอนของแบคทีเรีย เนื่องจากเชื้อแต่ละชนิดที่แตกต่างกันจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะให้ตรงกับชนิดของเชื้อโรค มิฉะนั้นนอกจากจะเปลื้องเงิน ไม่หายแล้ว เชื้ออาจดื้อต่อยาทำให้การรักษาต้องยุ่งยากมากยิ่งขึ้นห้องแล็ป จะทำหน้าที่ในการตรวจพิสูจน์ แยกเชื้อออกมาให้ชัดเจนตามหลักการ เพื่อให้ทราบว่าเชื้อตัวไหนที่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย ตรวจหาชนิดและปริมาณยาที่เหมาะที่สุดในการทำลายเชื้อโรควิธีการที่จะได้เชื้อมาเพาะเลี้ยงพิสูจน์ จะมาจากสารคัดหลั่งต่างจากบริเวณที่มีความผิดปกติ เช่น
อาการเจ็บคอ มีเสมหะเป็นสีเหลือง/เขียว
สิ่งส่งตรวจเพื่อหาเชื้อคือ เสมหะที่มีหนองปน ก็จะมีตัว สาเหตุปนติดมาด้วย
บาดแผลติดเชื้อ อักเสบ มีหนอง บาดแผลติดเชื้อ อักเสบ มีหนอง บาดแผลติดเชื้อ อักเสบ มีหนอง
สิ่งส่งตรวจเพื่อหาเชื้อคือ หนองบริเวณบาดแผล ก็จะมีตัว สาเหตุปนติดมาด้วย
ท้องร่วง ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเสีย
สิ่งส่งตรวจเพื่อหาเชื้อคือ อุจจาระ ก็จะมีตัวสาเหตุปนติด มาด้วย
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะขุ่น
สิ่งส่งตรวจเพื่อหาเชื้อคือ ปัสสาวะที่มีหนองปน ก็จะมีตัว สาเหตุปนติดมาด้วย
เมื่อได้สิ่งตรวจข้างต้นมาแล้ว ส่วนหนึ่งจะนำมาย้อมดูตัวเชื้อโดยการย้อมด้วยวิธี gram stain เพื่อแยกชนิดของเชื้อขั้นต้น ขั้นต่อมาจะนำสิ่งส่งตรวจที่มีเชื้อแบคทีเรียอยู่ ใส่ลงในอาหารเลี้ยงเชื้อที่สนับสนุนการเติบโตอย่างรวดเร็วในจานหรือหลอดทดลอง เชื้อจะโตจนมีขนาดใหญ่เรียกว่า โคโลนี ซึ่งมีขนาดและลักษณะจะเพาะ อาจต้องทดสอบบางชนิดเพื่อแยกย่อยให้ได้ชนิดของเชื้ออย่างแน่นอน จากนั้นจะไปทดสอบหาเพื่อหายาปฏิชีวนะที่เหมาะสม เพื่อการรักษาต่อไปจากการย้อมแยกชนิดเชื้อด้วยวิธี gram's stain จะช่วยแยกแยะเชื้อแบคทีเรียออกเป็นหมวดหมู่ได้กว้างๆดังนี้แยกโดยดูจากการติดสี ชนิดติดสีน้ำเงิน เรียก แบคทีเรียพวกนี้ว่า แกรมบวก ชนิดที่ติดสีแดง เรียก แบคทีเรียพวกนี้ว่า แกรมลบแยกโดยดูจากรูปร่างของเชื้อ ชนิดที่มีรูปร่างทรงกลม หรือค่อนข้างกลม เรียกแบคทีเรียพวกนี้ว่า คอคไซ (cocci) ชนิดที่มีรูปร่างเป็นแท่ง หรือท่อนสั้นๆ เรียกแบคทีเรียพวกนี้ว่า แบซิลไล (bacili)แยกโดยดูการการเรียงตัวหรือการจับตัวกัน เช่นการเกาะตัวรวมกันเป็นกลุ่ม การต่อเรียงตัวกันยาวเหมือนโซ่ การอยู่กันเป็นคู่ๆ เป้นต้น ลองมาดูลักษณะของเชื้อแบคทีเรียที่ได้จากการเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการชันสูตร ห้องแล็ป ว่ามีหน้าตาอย่างไรบ้าง เริ่มต้นเมื่อแพทย์เก็บตัวอย่างที่ต้องการเพาะแยกเชื้อใส่ลงในหลอดอาหารป้องกันมิให้เชื้อตายก่อนมาถึงห้องแล็ป (หลอดสีเหลืองตามรูป)ห้องแล็ปจะใช้ลูปมาเผาล้นไฟเพื่อฆ่าเชื้อก่อน จุ่มลงไปในตัวอย่างเชื้อแล้วมาเกลี่ยลงในจานอาหารเพาะเชื้อครั้งที่ 1 จากนั้นเอาลูปไปเผาไฟ จากรอยเกลี่ยที่ 1 นำมาเกลี่ยกระจายออกครั้งที่ 2 นำลูปไปเผาไฟ มาเกลี่ยในแนวที่สองเพื่อแยกเชื้อให้กระจายออกมาในแนวที่ 3 นำไปเก็บที่อุณหภูมิ 30-37 องศา เชื้อที่ถูกเกลี่ยเป็นระดับๆข้างต้น จะกระจายแยกเป็นเชื้อโคโลนีเดียวๆ ทำให้เราสามารถ- ทราบจำนวนชนิดของเชื้อโรคที่มีอยู่ในสิ่งส่งตรวจ- แต่ละโคโลนีเราจะนำไปทดสอบเพื่อแยกชนิดของเชื้อแบคทีเรีย ว่าต้นเหตุของโรคคือเชื้อตัวไหน- เชื้อแต่ละโคโลนีเรานำไปทดสอบกับยาปฏิชีวนะที่สามารถฆ่าเชื้อได้ดีที่สุด เพื่อแนะให้แพทย์จ่ายยา ที่สามารถฆ่าเชื้อได้ดีที่สุด เชื้อโรคแต่ละโคโลนีที่ถูกเกลี่ยให้กระจายออกมาบนจานเพาะเลี้ยงเชื้อ จะถูกนำไปใส่ในหลอดทดสอบเฉพาะเพื่อแยกชนิดของเชื้อโรค ทำให้เราสามารถทราบอย่างแน่นอนว่าเชื้อโรคตัวไหนที่เป็นตัวทำให้เกิดโรค อีกส่วนหนึ่งจะถูกนำไปทดสอบหายาปฏิชีวนะที่ดีที่สุดในการฆ่าเชื้อ เพื่อแจ้งให้แพทย์จ่ายยาที่เหมาะสมต่อผู้ป่วยระยะเวลาทั้งสิ้นตั้งแต่ได้รับตัวอย่าง จนทราบชนิดของเชื้อโรค และยาที่เหมาะสมในการรักษา ประมาณ 2-3 วัน
อาการเจ็บคอ มีเสมหะเป็นสีเหลือง/เขียว
สิ่งส่งตรวจเพื่อหาเชื้อคือ เสมหะที่มีหนองปน ก็จะมีตัว สาเหตุปนติดมาด้วย
บาดแผลติดเชื้อ อักเสบ มีหนอง บาดแผลติดเชื้อ อักเสบ มีหนอง บาดแผลติดเชื้อ อักเสบ มีหนอง
สิ่งส่งตรวจเพื่อหาเชื้อคือ หนองบริเวณบาดแผล ก็จะมีตัว สาเหตุปนติดมาด้วย
ท้องร่วง ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเสีย
สิ่งส่งตรวจเพื่อหาเชื้อคือ อุจจาระ ก็จะมีตัวสาเหตุปนติด มาด้วย
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะขุ่น
สิ่งส่งตรวจเพื่อหาเชื้อคือ ปัสสาวะที่มีหนองปน ก็จะมีตัว สาเหตุปนติดมาด้วย
เมื่อได้สิ่งตรวจข้างต้นมาแล้ว ส่วนหนึ่งจะนำมาย้อมดูตัวเชื้อโดยการย้อมด้วยวิธี gram stain เพื่อแยกชนิดของเชื้อขั้นต้น ขั้นต่อมาจะนำสิ่งส่งตรวจที่มีเชื้อแบคทีเรียอยู่ ใส่ลงในอาหารเลี้ยงเชื้อที่สนับสนุนการเติบโตอย่างรวดเร็วในจานหรือหลอดทดลอง เชื้อจะโตจนมีขนาดใหญ่เรียกว่า โคโลนี ซึ่งมีขนาดและลักษณะจะเพาะ อาจต้องทดสอบบางชนิดเพื่อแยกย่อยให้ได้ชนิดของเชื้ออย่างแน่นอน จากนั้นจะไปทดสอบหาเพื่อหายาปฏิชีวนะที่เหมาะสม เพื่อการรักษาต่อไปจากการย้อมแยกชนิดเชื้อด้วยวิธี gram's stain จะช่วยแยกแยะเชื้อแบคทีเรียออกเป็นหมวดหมู่ได้กว้างๆดังนี้แยกโดยดูจากการติดสี ชนิดติดสีน้ำเงิน เรียก แบคทีเรียพวกนี้ว่า แกรมบวก ชนิดที่ติดสีแดง เรียก แบคทีเรียพวกนี้ว่า แกรมลบแยกโดยดูจากรูปร่างของเชื้อ ชนิดที่มีรูปร่างทรงกลม หรือค่อนข้างกลม เรียกแบคทีเรียพวกนี้ว่า คอคไซ (cocci) ชนิดที่มีรูปร่างเป็นแท่ง หรือท่อนสั้นๆ เรียกแบคทีเรียพวกนี้ว่า แบซิลไล (bacili)แยกโดยดูการการเรียงตัวหรือการจับตัวกัน เช่นการเกาะตัวรวมกันเป็นกลุ่ม การต่อเรียงตัวกันยาวเหมือนโซ่ การอยู่กันเป็นคู่ๆ เป้นต้น ลองมาดูลักษณะของเชื้อแบคทีเรียที่ได้จากการเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการชันสูตร ห้องแล็ป ว่ามีหน้าตาอย่างไรบ้าง เริ่มต้นเมื่อแพทย์เก็บตัวอย่างที่ต้องการเพาะแยกเชื้อใส่ลงในหลอดอาหารป้องกันมิให้เชื้อตายก่อนมาถึงห้องแล็ป (หลอดสีเหลืองตามรูป)ห้องแล็ปจะใช้ลูปมาเผาล้นไฟเพื่อฆ่าเชื้อก่อน จุ่มลงไปในตัวอย่างเชื้อแล้วมาเกลี่ยลงในจานอาหารเพาะเชื้อครั้งที่ 1 จากนั้นเอาลูปไปเผาไฟ จากรอยเกลี่ยที่ 1 นำมาเกลี่ยกระจายออกครั้งที่ 2 นำลูปไปเผาไฟ มาเกลี่ยในแนวที่สองเพื่อแยกเชื้อให้กระจายออกมาในแนวที่ 3 นำไปเก็บที่อุณหภูมิ 30-37 องศา เชื้อที่ถูกเกลี่ยเป็นระดับๆข้างต้น จะกระจายแยกเป็นเชื้อโคโลนีเดียวๆ ทำให้เราสามารถ- ทราบจำนวนชนิดของเชื้อโรคที่มีอยู่ในสิ่งส่งตรวจ- แต่ละโคโลนีเราจะนำไปทดสอบเพื่อแยกชนิดของเชื้อแบคทีเรีย ว่าต้นเหตุของโรคคือเชื้อตัวไหน- เชื้อแต่ละโคโลนีเรานำไปทดสอบกับยาปฏิชีวนะที่สามารถฆ่าเชื้อได้ดีที่สุด เพื่อแนะให้แพทย์จ่ายยา ที่สามารถฆ่าเชื้อได้ดีที่สุด เชื้อโรคแต่ละโคโลนีที่ถูกเกลี่ยให้กระจายออกมาบนจานเพาะเลี้ยงเชื้อ จะถูกนำไปใส่ในหลอดทดสอบเฉพาะเพื่อแยกชนิดของเชื้อโรค ทำให้เราสามารถทราบอย่างแน่นอนว่าเชื้อโรคตัวไหนที่เป็นตัวทำให้เกิดโรค อีกส่วนหนึ่งจะถูกนำไปทดสอบหายาปฏิชีวนะที่ดีที่สุดในการฆ่าเชื้อ เพื่อแจ้งให้แพทย์จ่ายยาที่เหมาะสมต่อผู้ป่วยระยะเวลาทั้งสิ้นตั้งแต่ได้รับตัวอย่าง จนทราบชนิดของเชื้อโรค และยาที่เหมาะสมในการรักษา ประมาณ 2-3 วัน

แบคทีเรียผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็ก
นักวิจัย UMass Amherst ได้ค้นพบว่า จุลลินทรีย์ผลิตสายนำไฟฟ้าขนาดเล็กมากได้UMass Amherst Mass- นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัย Massachusetts Amherst ได้ค้นพบโครงสร้างทางชีววิทยาขนาดเล็ก ซึ่งมีความสามารถในการนำไฟฟ้าสูง การค้นพบครั้งนี้ช่วยในการอธิบายว่า จุลชีพสามารถทำความสะอาดน้ำ และผลิตกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานที่นำกลับมาใช้ได้ใหม่ ได้อย่างไร และสามารถนำไปสู่การดัดแปลงพัฒนาไปใช้ในงานทางด้าน nanotechnology ซึ่งพัฒนาวัตถุดิบอันก้าวหน้าและอุปกรณ์ต่างๆที่มีขนาดเล็กเป็นอย่างมาก การค้นพบของนักจุลชีววิทยา Derek R. Lovley ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในทีมนักวิจัยที่ค้นพบครั้งนี้ ได้เผยแพร่งานของเขาในนิตยสาร Nature ซึ่งเป็นนิตยสารวิทยาศาสตร์ นานาชาติ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน กลุ่มนักวิจัยพบว่า โครงสร้างที่นำไฟฟ้าได้ ซึ่งเรียกว่า “microbial nanowires,” นี้ ผลิตโดยจุลชีพที่รู้จักกันในนามว่า Geobacter เป็นที่เหลือเชื่อว่า nanowire มีขนาดความกว้างเพียง 3 – 5 นาโนเมตร (เล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ ถึง 20,000 เท่า) แต่มีความทนทาน และมีความยาวมากกว่า 1,000 เท่าของความกว้าง “สิ่งที่มีความยาว และนำไฟฟ้าได้แบบนี้ ไม่เคยพบมาก่อนเลยในทางชีววิทยา” Lovey กล่าว “สิ่งนี้ได้เปลี่ยนมโนคติของเราอย่างสิ้นเชิงว่า จุลชีพสามารถจัดการกับ อิเลกตรอน ได้อย่างไร และยังดูเหมือนว่า nanowire ที่สร้างจาก แบคทีเรีย เหล่านี้ จะสามารถใช้เป็นวัสดุในการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีขนาดเล็กมากอย่างยิ่งยวดได้อีกด้วย“โลกของเหล่าจุลชีพไม่เคยทำให้เราหยุดประหลาดใจได้เลย” กล่าวโดย Dr. Aristides Patrinos จากกระทรวงพลังงานแห่ง สหรัฐอเมริกา ที่ให้ทุนในการศึกษา Geobacter นี้ การค้นพบที่น่าทึ่งและไม่ได้ความหมายไว้ครั้งนี้ ของ โครงสร้างจุลชีพ ซึ่งประกอบมาเป็น microbial nanowires นี้ช่วยให้กลุ่มของจุลชีพในเขตปนเปื้อนขยะ สามารถสร้างสายส่งกระแสไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งสามารถนำจุลชีพนี้มาใช้ในการบำบัดฟื้นฟูบริเวณที่ปนเปื้อนของเสียได้ เพื่อส่งเสริมกระบวนการรับสัญญาณทางสิ่งแวดล้อมขนาดจิ๋ว และเพื่อผลิตสิ่งเล็กๆโดยทางชีววิทยา การค้นพบครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องของวิทยาศาสตร์กายภาพ กับการค้นพบทางชีววิทยาในปัจจุบันกาลEugene Madsen นักวิจัยทางด้านจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัย Cornell กล่าวด้วยว่า “ผมได้เป็นผู้อ่านและตัดสินผลงานของผู้ที่ส่งมาตีพิมพ์ในนิตยสาร Nature งานที่สร้างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่งของ Dr. Lovley นั้นมีมากมาย ตั้งแต่ปี 1987 และงานครั้งล่าสุดนี้ เรื่อง microbial nanowires เป็นผลงานชิ้นใหญ่ที่สำคัญมากอีกชิ้นหนึ่ง เพราะมันอาจนำไปสู่ยุคใหม่ของการค้นพบของทั้ง การหายใจระดับจุลชีพ และไฟฟ้าชีวภาพ (Bio–electronics)” เขากล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ช่างมีความหวัง และน่าตื่นเต้นยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเขาจะเน้นว่าข้อมูลนี้จะต้องได้รับการยืนยันโดยอิสระ และต้องถูกประเมินโดย นักจุลชีววิทยา และนักชีวกายภาพอื่นๆอีกGeobacter เป็นหัวข้อที่ทำการค้นคว้ากันอย่างเข้มข้น เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่นำมาใช้ประโยชน์ในการบำบัดการปนเปื้อนของมลพิษ เช่น สารพิษ โลหะกัมนตรังสี และ ปิโตรเลียม ด้วยวิธีทางชีววภาพ (Bioremediation) นอกจากนี้มันยังสามารถเปลี่ยนของเสียจากมนุษย์และสัตว์มาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้อีกด้วย เพื่อที่จะดำเนินกระบวนการเหล่านี้ Geobacter จะต้องขนส่ง อิเลกตรอนออกนอกเซลล์สู่โลหะ หรือตัวรับอิเลกตรอน (electrodes) งานวิจัยครั้งนี้ได้ให้คำอธิบายว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรผลงานก่อนหน้านี้ของ Dr. Lovley ได้อธิบายว่า Geobacter ได้สร้างวัสดุคล้ายเส้นผมขนาดเล็กที่ปราณีตมาก ซึ่งเป็นที่รู้จักว่า pili บนด้านหนึ่งของ เซลล์ ทีมของ Dr. Lovley พิจจารณาว่า pili นี้น่าจะเป็นเหมือนสายไฟขนาดเล็กที่ยื่นออกจาก เซลล์ ที่เปิดโอกาสให้ Geobacter มีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ในการขนถ่าย อิเลกตรอน ออกนอกเซลล์สู่โลหะ หรือตัวรับอิเลกตรอนอื่นๆ ซึ่งการศึกษานี้ ได้รับการยืนยันอีกครั้งจากการศึกษาของ Gemma Ruegera นักจุลชิววิทยา, Mark T. Tuominen และ Kelvin T Mckathy นัก Physics ซึ่งทดสอบ pili นี้ด้วย กล้อง atomic force microscope พวกเขาค้นพบว่า pilli นำไฟฟ้าได้ดีมาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ Geobacter ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมให้ไม่มีการสร้าง pili Geobacter ก็จะไม่สามารถขนส่ง อิเลกตรอนได้อีกต่อไป“ผลการทดลองนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า Geobacter สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ขาด ออกซิเจน และมีความสามารถเฉพาะในการกำจัดสารอินทรย์ที่เป็นมลพิษ และโลหะจากน้ำใต้ดิน ได้อย่างไร” Lovley กล่าว Geobacter สามารถดำรงชีวิตอยู่ที่ที่ที่ไม่มี ออกซิเจนได้ เพราะความสามารถในการขนส่ง อิเลกตรอน ออกไปให้กับแร่เหล็กภายนอกเซลล์ได้ ซึ่งแร่เหล่านี้เป็นองค์ประกอบทั่วไปตามธรรมชาติในดิน อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นจะต้องค้นหาให้ได้ก่อนว่า pili ที่นำไฟฟ้าได้นี้ ขนส่ง อิเลกตรอน ได้อย่างไร ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ยังคงไม่มีใครรู้pili ที่นำไฟฟ้าได้ซึ่งสร้างขึ้นโดย Geobacter นี้ อาจถูกนำมาใช้เป็นทางเลือก เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม อิเลกทรอนิก ได้ สายส่งไฟฟ้าอันปราณีตสูง มักหมายถึง nanowire นี้ จำเป็นสำหรับการพัฒนา การย่อขนาดอุปกรณ์ทางไฟฟ้าต่อไปในอนาคต การผลิต nanowire จากวัสดุดั้งเดิม เช่น เหล็ก ซิลิกา หรือ คาร์บอน นั้น ทำได้ยากและราคาแพง แต่เราสามารถผลิต Geobacter ได้นับล้านล้านและเก็บผลผลิตที่ได้ ภายในห้องปฏิบัติการ ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงลำดับ DNA ของ ยีน ที่ใช้สร้าง microbial nanowire นี้ ก็จะสามารถผลิต nannowire ที่มีคุณลักษณะ และหน้าที่ที่ต่างออกไปได้สิ่งเกี่ยวข้องอย่างอื่นที่น่าสนใจของงานวิจัยนี้ คือการเสนอกลไกสำหรับจุลชีพที่มช้ในการแบ่งพลังงานในสายไฟฟ้าขนาดจิ๋วนี้ nanowire pili ของ Geobacter แต่ละตัว มักจะเชื่อมเข้าหากัน ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ Geobacter แบ่งกระแสไฟฟ้าซึ่งกันและกันGeobacter ถูกค้นพบโดย Dr. Lovley ในปี 1987 ที่ใต้ก้นที่เป็นโคลนของ แม่น้ำ Potomac ในWorthington D.C. และเมื่อเวลาผ่านไป 18 ปี งานวิจัยของเขาได้รับความสนใจอย่างกว้าขวาง และได้รับทุนวิจัยจากรัฐบาล และแหล่งทุนส่วนตัว สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่พบได้ทั่วไปในดิน และตะกอนใต้น้ำ ได้ถูกสาธิตให้เป็นผู้ทำความสะอาดสารพิษที่ปนเปื้อน และเป็นผู้สร้างพลังงาน พวกมันเป็น แบกทีเรีย ที่ไม่อาศัย ออกซิเจน ในการดำรงชีวิต ที่ใช้เหล็กเป็นตัวให้พลังงาน ซึ่งในมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นจะต้องใช้ ออกซิเจน มันกระจายตัวอยู่อย่างหลากหลายทั่วโลกในดิน และตะกอนใต้น้ำ Geobacter ถูกใช้ในการกำจัด ปิโตรเลียมที่หกปนเปื้อน และกำจัดมลพิษจากโลหะในน้ำใต้ดิน และนำไปใช้ในการกำจัด ยูเรเนียม ที่ปนเปื้อนในน้ำใต้ดิน โดยกระทรวงพลังงานแห่ง สหรัฐ อีกด้วย

“แบคทีเรีย” สิ่งมีชีวิตจิ๋วแต่แจ๋วในแปลงเกษตรและบ่อบำบัด
รายละเอียด
หลายท่านอาจจะคุ้นเคยกับความเข้าใจว่าแบคทีเรียคือสิ่งมีชีวิตที่เป็นโทษต่อสุขภาพ เห็นได้จากผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดหลายชนิดที่มักโฆษณาว่ากำจัดแบคทีเรียได้ แต่จริงๆ แล้วแบคทีเรียก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ให้คุณหากเรารู้จักใช้ เช่นการนำแบคทีเรียจำพวกที่สังเคราะห์แสงได้มาใช้กับการเกษตรและการบำบัดสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกตัวอย่างของประยุกต์ใช้สิ่งมีชีวิตเล็กๆ นี้ให้เกิดประโยชน์ แบคทีเรียสังเคราะห์แสง (photosynthetic bacteria: PSB) พบกระจายทั่วไปในธรรมชาติ ตามแหล่งน้ำจืด น้ำเค็ม ทะเลสาบ น้ำพุร้อน เป็นต้น ซึ่งสิ่งมีชีวิตนี้มีกระบวนการดำรงชีวิตที่สามารถนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อาหารจากการเป็นอาหารของสัตว์ขนากเล็กอย่างกุ้ง หอย ปู ปลาได้ รศ.ดร.นภาวรรณ นพรัตนราภรณ์ อาจารย์ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยด้านแบคทีเรียสังเคราะห์แสงมากว่า 30 ปีอธิบายว่าคนเรารู้จักใช้ประโยชน์แบคทีเรียสังเคราะห์แสงในด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อมโดยอาศัยกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ เช่นในการบำบัดน้ำเสียซึ่งมีสารอินทรีย์ต่างๆ อยู่มาก แบคทีเรียเหล่านี้ก็จะใช้สารเหล่านั้นในการดำรงชีวิตและทำให้น้ำเสียดีขึ้น “ความมหัศจรรย์ของแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ตรงกระบวนการที่อยู่ในเซลล์ เมื่ออยู่ในสภาวะที่มีแสงก็เกิดกระบวนการที่ใช้แสง ถ้าสิ่งแวดล้อมไม่มีแสงก็เปลี่ยนมาใช้อีกกระบวนการที่ไม่ใช้แสงทำให้มีชีวิตอยู่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ใช้ประโยชน์จากการกระบวนการดำรงชีวิตตรงนี้ ในแง่ของการเลี้ยง แง่ของการบำบัดน้ำเสีย เอามาใช้ในการบำบัดดินโดยไม่ต้องเอามาพักในบ่อซึ่งเป็นระบบบำบัด” รศ.ดร.นภาวรรณเสริมต่อว่านักวิทยาศาสตร์ค้นพบคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ของแบคทีเรียสังเคราะห์แสงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยตอนแรกรู้จักใช้ในการบำบัดน้ำเสียก่อน ต่อมาก็ใช้ในการผลิตอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง จากนั้นก็มีการค้นพบว่ามีสายพันธุ์ที่ผลิตสารกำจัดวัชพืชได้ ขณะเดียวกันหากรู้จักใช้อย่างถูกวิธีก็สามารถใช้เป็นสารในการเร่งการเจริญเติบโตของพืชได้ และยังพบสายพันธุ์ที่ผลิตเอนไซม์ Q10 ที่ใช้ในวงการแพทย์รวมถึงวงการเครื่องสำอาง ล่าสุดยังพบว่าแบคทีเรียสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสัตว์ได้อีกด้วย พร้อมกันนี้ได้กล่าวถึงวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกซึ่ง รศ.ดร.นภาวรรณได้ผลิตสาร ALA (delta aminolevulinic Acid) จากแบคทีเรีย ซึ่งสารดังกล่าวถูกค้นพบก่อนหน้านี้โดยนักวิจัยชาวสหรัฐว่าทำให้พืชที่สัมผัสสารเกิดรูรั่วเมื่อได้รับแสง ทั้งนี้ทีมวิจัยของ รศ.ดร.นภาวรรณได้ทดลองกับพืชใบกว้างพบว่าตายหมด แต่ถ้าใช้กับพืชใบแคบ เช่น ข้าวหรือข้าวโพดอย่างเหมาะสมจะช่วยเร่งการเจริญเติบโตได้ โดยได้ทดลองอย่างจริงจังกับข้าวโพด ทางด้านนายสุรอรรถ ศุภจัตุรัส ผู้ประสานงานโครงการแบคทีเรียสังเคราะห์แสงเพื่อการเกษตรและสิ่งแวดล้อม ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่ามีการใช้แบคทีเรียสังเคราะห์แสงในไทยประมาณ 30 ปีแล้ว แต่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อ EM หรือสารหมักชีวภาพซึ่งไม่สามารถจำแนกได้ว่ามีสายพันธุ์อะไรบ้างหรือมีคุณสมบัติอะไรที่แน่นอน ส่วนการใช้ประโยชน์จากสายพันธุ์แบคทีเรียที่ทราบแน่ชัดนั้นที่ประเทศญี่ปุ่นได้ใช้กับการเกษตร ซึ่งพิสูจน์แน่ชัดว่าใช้ได้ผลจริง โดยใช้เพิ่มผลผลิตข้าวที่เพิ่มถึง 3 เท่า และทำให้เมล็ดข้าวใหญ่ขึ้น 2 เท่า ทั้งนี้เพราะแบคทีเรียช่วยปรับสภาพดินให้เหมาะกับการดูดซึมสารอาหารของรากข้าวโดยย่อยสลายสารเคมีบางตัวที่ต่อต้านการเจริญเติบโตของรากข้าว ซึ่งใช้แบคทีเรียในรูปส่วนผสมของปุ๋ยอินทรีย์ แบคทีเรียสังเคราะห์แสงยังใช้เป็นอาหารเสริมให้กับสัตว์เนื่องจากแบคทีเรียมีโปรตีนที่จำเป็นต่อสัตว์ อีกทั้งแบคทีเรียบางสายพันธุ์ยังผลิตสารแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งมีสีแดงออกส้มเมื่อผสมอาหารให้ไก่กินจะช่วยเพิ่มสีให้ไข่แดงของไก่ นายสุรอรรถอธิบายว่าสารดังกล่าวได้จากธรรมชาติจึงมีความปลอดภัยกว่าสารสังเคราะห์ นายสุรอรรถกล่าวว่าสำนักงานนวัตกรรมฯ เห็นความสำคัญในการพัฒนาแบคทีเรียสังเคราะห์แสงจึงได้ตั้งโครงการที่มีเป้าหมายในการใช้แบคทีเรียสังเคราะห์แสงกับการเกษตรและสิ่งแวดล้อม สำหรับการเกษตรจะเริ่มที่การผลิตปุ๋ยผสมแบคทีเรียเพื่อช่วยเพิ่มผลิตก่อน ส่วนทางด้านสิ่งแวดล้อมจะใช้ในการบำบัดน้ำเสียจากแหล่งต่างๆ อาทิ โรงอาหารและบ่อกุ้ง เป็นต้น

แบคทีเรียขจัดสารพิษ
สัตวแพทย์ผู้ชำนาญด้านพิษวิทยา จากรัฐโอเรกอน ประกาศว่าแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในกระเพาะของปลาวาฬจะช่วยกำจัดคราบน้ำมันและสารอันตรายจากโรงงานได้ไม่ว่าสารพิษนั้นจะอยู่ในดิน ในสระน้ำจืด หรือในทะเล
เมื่อปี พ.ศ. 2537 คุณหมอมอรี่ เคร็ก ได้ศึกษากระเพาะอาหารของปลาวาฬที่จับได้ในอลาสกา พบว่ามีแบคทีเรียอยู่ถึงพันชนิด ในจำนวนนี้ มีแบคทีเรียที่สามารถย่อยสลายสารแนพทาลีน แอนทราซีน และพีซีบีได้ซึ่งสารทั้งสามนี้ เกี่ยวข้องกับการก่อโรคมะเร็งในมนุษย์ คุณหมอจึงเข้าใจได้ทันทีว่าปลาวาฬมีชีวิตอยู่ในทะเลที่เต็มไปด้วยสารพิษได้ ก็เพราะแบคทีเรียพวกนี้นี่เอง
แบคทีเรียในกระเพาะปลาวาฬ สามารถย่อยสลายสารอันตรายให้กลายเป็นสารปราศจากพิษ โดยไม่ต้องอาศัยออกซิเจน ปลาวาฬจึงไม่ได้รับอันตรายจากมลพิษที่มนุษย์สร้างขึ้น ถ้ามนุษย์จะนำแบคทีเรียนี้มาใช้ประโยชน์ ก็อาจช่วยขจัดคราบน้ำมันที่ซึมลึกเข้าไปตามชายหาด หรือตกค้างอยู่ตามซอกหิน ซึ่งกำจัดได้ยากด้วยวิธีอื่น
หมอเคร็กยังไม่รู้ว่าแบคทีเรียตัวไหนที่กินสารพิษจะต้องส่งทีมไปอลาสกาอีกครั้ง สกัดเอาแบคทีเรียชนิดที่ดี ๆ มาให้ได้
นอกจากกระเพาะปลาวาฬแล้ว หมอเคร็กยังล้วงลึกเข้าไปถึงกระเพาะแพะและแกะ จนรู้ว่ามีแบคทีเรียที่ย่อยสาร TNT ที่เป็นวัตถุระเบิด ให้หมดฤทธิ์ไปได้ หมอจึงได้ร่วมกับทหารช่างสหรัฐฯ ในการกำจัดเศษวัตถุระเบิดตามคลังอาวุธเก่า ๆ ในรัฐต่าง ๆ ซึ่งดำเนินการอยู่ในช่วงปลายปี 2538 นี้
แกะนั้นโชคดีกว่าวัวและม้า เพราะในกระเพาะของแกะมีแบคทีเรียอยู่ 4 ชนิด คอยย่อยสารอัลคาลอยด์ที่เป็นพิษ ในพืชที่ชื่อว่า tansy ragwort ส่วนม้าและวัว เมื่อกินพืชชนิดนี้เข้าไปพิษจะเข้าสู่ตับจนถึงกับล้มตายได้โดยง่าย คนเลี้ยงวัวและม้าในสหรัฐและแคนาดาเสียสัตว์เลี้ยงไปเพราะเหตุนี้ปีละมาก ๆ เฉพาะในโอเรกอน คิดเป็นค่าเสียหายถึงปีละ 250 ล้านบาท
ด้วยเหตุนี้ หมอเคร็กจึงเอาแบคทีเรียจากท้องแกะไปใส่ในกระเพาะแม่วัวจำนวน 10 ตัว แล้วให้แม่วัวกิน tansy ragwort ปรากฎว่าแม่วัวทั้งหมดไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ
หลังจากทราบข่าวนี้บริษัทต่าง ๆ จึงมาติดต่อหมอเคร็ก ขอนำแบคทีเรียไปผลิต เพื่อจำหน่ายแก่เกษตรกร เป็นยาก่อนอาหารสำหรับวัวและม้า
สิทธิบัตรสำหรับแบคทีเรียเลี้ยงวัวนี้ หมอเคร็กยกให้เป็นสมบัติของมหาวิทยาลัยรัฐโอเรกอน และในไม่ใช้หากแยกแบคทีเรียจากกระเพาะปลาวาฬได้ หมอเคร็กก็คงถูกบริษัทต่าง ๆ คอยตามตื้ออีกครั้งหนึ่ง
เมื่อปี พ.ศ. 2537 คุณหมอมอรี่ เคร็ก ได้ศึกษากระเพาะอาหารของปลาวาฬที่จับได้ในอลาสกา พบว่ามีแบคทีเรียอยู่ถึงพันชนิด ในจำนวนนี้ มีแบคทีเรียที่สามารถย่อยสลายสารแนพทาลีน แอนทราซีน และพีซีบีได้ซึ่งสารทั้งสามนี้ เกี่ยวข้องกับการก่อโรคมะเร็งในมนุษย์ คุณหมอจึงเข้าใจได้ทันทีว่าปลาวาฬมีชีวิตอยู่ในทะเลที่เต็มไปด้วยสารพิษได้ ก็เพราะแบคทีเรียพวกนี้นี่เอง
แบคทีเรียในกระเพาะปลาวาฬ สามารถย่อยสลายสารอันตรายให้กลายเป็นสารปราศจากพิษ โดยไม่ต้องอาศัยออกซิเจน ปลาวาฬจึงไม่ได้รับอันตรายจากมลพิษที่มนุษย์สร้างขึ้น ถ้ามนุษย์จะนำแบคทีเรียนี้มาใช้ประโยชน์ ก็อาจช่วยขจัดคราบน้ำมันที่ซึมลึกเข้าไปตามชายหาด หรือตกค้างอยู่ตามซอกหิน ซึ่งกำจัดได้ยากด้วยวิธีอื่น
หมอเคร็กยังไม่รู้ว่าแบคทีเรียตัวไหนที่กินสารพิษจะต้องส่งทีมไปอลาสกาอีกครั้ง สกัดเอาแบคทีเรียชนิดที่ดี ๆ มาให้ได้
นอกจากกระเพาะปลาวาฬแล้ว หมอเคร็กยังล้วงลึกเข้าไปถึงกระเพาะแพะและแกะ จนรู้ว่ามีแบคทีเรียที่ย่อยสาร TNT ที่เป็นวัตถุระเบิด ให้หมดฤทธิ์ไปได้ หมอจึงได้ร่วมกับทหารช่างสหรัฐฯ ในการกำจัดเศษวัตถุระเบิดตามคลังอาวุธเก่า ๆ ในรัฐต่าง ๆ ซึ่งดำเนินการอยู่ในช่วงปลายปี 2538 นี้
แกะนั้นโชคดีกว่าวัวและม้า เพราะในกระเพาะของแกะมีแบคทีเรียอยู่ 4 ชนิด คอยย่อยสารอัลคาลอยด์ที่เป็นพิษ ในพืชที่ชื่อว่า tansy ragwort ส่วนม้าและวัว เมื่อกินพืชชนิดนี้เข้าไปพิษจะเข้าสู่ตับจนถึงกับล้มตายได้โดยง่าย คนเลี้ยงวัวและม้าในสหรัฐและแคนาดาเสียสัตว์เลี้ยงไปเพราะเหตุนี้ปีละมาก ๆ เฉพาะในโอเรกอน คิดเป็นค่าเสียหายถึงปีละ 250 ล้านบาท
ด้วยเหตุนี้ หมอเคร็กจึงเอาแบคทีเรียจากท้องแกะไปใส่ในกระเพาะแม่วัวจำนวน 10 ตัว แล้วให้แม่วัวกิน tansy ragwort ปรากฎว่าแม่วัวทั้งหมดไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ
หลังจากทราบข่าวนี้บริษัทต่าง ๆ จึงมาติดต่อหมอเคร็ก ขอนำแบคทีเรียไปผลิต เพื่อจำหน่ายแก่เกษตรกร เป็นยาก่อนอาหารสำหรับวัวและม้า
สิทธิบัตรสำหรับแบคทีเรียเลี้ยงวัวนี้ หมอเคร็กยกให้เป็นสมบัติของมหาวิทยาลัยรัฐโอเรกอน และในไม่ใช้หากแยกแบคทีเรียจากกระเพาะปลาวาฬได้ หมอเคร็กก็คงถูกบริษัทต่าง ๆ คอยตามตื้ออีกครั้งหนึ่ง

การป้องกันโรคมะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
โรคมะเร็งเป็นโรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งมีมลภาวะจากการพัฒนาประเทศ และประชาชนขาดความเอาใจใส่ต่อสุขภาพตนเอง ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่เลือก เหล่าเป็นสาเหตุให้มะเร็งเพิ่มขึ้น
โรคมะเร็งเป็นโรคที่ป้องกันได้ และสามารถรักษาให้หายขาดได้หากสามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่เริ่มเป็น เนื้อหาที่นำเสนอจะเป็นแนวทางการตรวจและวินิจฉัย พร้อมทั้งแผนการรักษา ท่านผู้อ่านควรทำความเข้าใจ และนำความรู้ที่ได้ปรึกษาแพทย์ของท่านเกี่ยวกับวิธีรักษาของมะเร็งแต่ละชนิด
โรคมะเร็งคืออะไร
ร่างกายเราประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ อวัยวะจะประกอบด้วยเซลล์ กลุ่มของเซลล์ที่มีรูปร่างและทำหน้าที่เหมือนกันรวมตัวกันจะเป็นอวัยวะ หลายอวัยวะมาทำงานร่วมกันเป็นระบบ หลายๆระบบทำงานร่วมกันเป็นร่างกายของคนเรา เซลล์ต่างๆจะมีอายุเมื่อตายก็จะมีเซลล์ใหม่เจริญทดแทนเซลล์เก่า
เซลล์ที่สร้างใหม่ไม่หยุดเราเรียกเนื้องอกซึ่งแบ่งเป็น เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงหรือทางการแพทย์เรียก Benign tumor ส่วนมะเร็งที่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่นๆเรียกมะเร็ง
ชนิดของมะเร็ง
ชนิดของมะเร็งจะแบ่งตามชนิดของเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิด เช่น
carcinomas เซลล์ต้นกำเนิดเกิดเซลล์บุผิว (epithelium)มะเร็งชนิดนี้เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดประมาณร้อยละ 85
Sarcomas เป็นมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อผูกพัน(connective tissue) เช่นกล้ามเนื้อ กระดูก ไขมัน
leukemia/lymphoma เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือด
มะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งสมอง
คนเราเป็นโรคมะเร็งชนิดไหนมาก
ผู้ชายเราพบมะเร็ง
มะเร็งปอด 19%
มะเร็งต่อมลูกหมาก 17 %
มะเร็งลำไส้ใหญ่ 14 %
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ 7 %
ผู้หญิง
มะเร็งเต้านม 29%
มะเร็งลำไส้ใหญ่ 12%
มะเร็งปอด 11%
มะเร็งรังไข่ 5%
การรักษาโรคมะเร็ง
การเฝ้าติดตาม
เมื่อบอกว่าเป็นมะเร็งคนทั่วไปมักจะคิดว่าต้องผ่าตัด หรือให้เคมีบำบัด แต่มีมะเร็งบางประเภทที่ไม่แพร่กระจาย และเจริญเติบโตช้ามาก การรักาาจึงเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของมะเร็ง
การผ่าตัด
การผ่าตัดจะผ่าเอาเนื้องอกออกจากร่างกาย นอกจากนั้นบางรายอาจจะต้องผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งที่แพร่กระจายออกให้หมด อ่านที่นี่
การฉายแสง
คือการใช้รังสีรักษาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งแต่มีผลกับเซลล์ปกติน้อย อาการข้างเคียงคืออาการอ่อนเพลียไม่มีแรง
เคมีบำบัด
คือการให้สารเคมีหรือยาที่ทำลายเซลล์มะเร็งมีทั้งยาเม็ด ยาน้ำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นยาฉีด มะเร็งบางชนิดให้ยาเพียงชนิดเดียวแต่ว่วนใหญ่จะยาสองชนิดขึ้นไป
การให้ฮอร์โมน
มะเร็งบางชนิดจะแบ่งตัวเมื่อมีฮอร์โมน การให้ยาเพื่อเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนทำให้เซลล์หยุดการเจริญเติบโต ส่วนใหญ่จะใช้รักษามะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
การรักษาอื่นๆ
เช่นการให้ภูมิเพื่อทำลายเซลล์เช่น interferon เป็นต้น
การเจาะเลือดเพื่อตรวจมะเร็ง
การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาโรคมะเร็งหรือที่เรียกว่า Tumor marker เป็นสารซึ่งอาจจะเจอในเลือด ปัสสาวะ เนื้อเยื่อต่างๆ มากกว่าปกติสารเหล่านี้ถูกสร้างโดยเนื้อมะเร็ง หรือปฏิกิริยาของร่างกายต่อมะเร็ง และจากเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง
มะเร็งเต้านม
คุณผู้หญิงควรจะอ่านทุกคนครับ ท่านจะได้ทราบถึงปัจจัยเสี่ยง แนวทางการค้นหาโรคในระยะเริ่มต้น รวมทั้งวิธีการผ่าตัดและวิธีการรักษาอย่างอื่น และโรคแทรกซ้อนของการรักษาแต่ละวิธี
มะเร็งลำไส้ใหญ่
พบมาก สามารถรักษาให้หายขาดถ้าวินิจฉัยได้เร็ว ท่านจะทราบปัจจัยเสี่ยง การตรวจวินิจฉัย และการรักษา
มะเร็งปากมดลูก
เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยสำหรับผู้หญิง หากพบเร็วรักษาหายขาดหากพบช้าอาจจะทำให้เสียชีวิต คุณผู้หญิงควรจะอ่านทุกคนครับ
มะเร็งปอด
อัตราการตายสูงมาก พบมากในผู้ชาย รักษาหายขาดถ้าวินิจฉัยได้เร็ว
มะเร็งตับ
ท่านที่ดื่มสุรา ท่านที่เป็นตับอักเสบเรื้อรังท่านเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ ท่านจะได้ทราบว่ามะเร็งตับมีหลายชนิด รวมทั้งอาการและการวินิจฉัย
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
เป็นมะเร็งที่พบไม่บ่อย ปัจจุบันสามารถรักษาให้หายขาด หากรักษาเร็วมีภาพเซลล์มะเร็งให้ดูครับ พร้อมทั้งอาการและวิธีการรักษา
มะเร็งไฝ
พบไม่บ่อย แพร่กระจายเร็ว ท่านจะทราบว่าไฝปกติและมะเร็งไฝแตกต่างกันอย่างไร น่าสนใจครับ
มะเร็งต่อมลูกหมาก
มะเร็งที่พบในผู้ชายโดยเฉพาะผู้สูงอายุ มักจะมีอาการปัสสาวะลำบากต้องเบ่ง การตรวจวินิจฉัยไม่ยาก
ปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็ง
เกิดจากสารเคมี การติดเชื้อ สุรา อาหาร ควรอ่านทุกคนครับเพื่อสุขภาพที่ดีของท่านและครอบครัว
อาหารต้านมะเร็ง
โรคมะเร็งนอกจากจะเป็นกรรมพันธุ์ การดำเนินชีวิตที่ไม่ระวังอาจจะชักนำท่านไปสู่โรคมะเร็ง โดยเฉพาะเรื่องอาหาร รับประทานอาหารอย่างไร ปรุงอาหารอย่างไรจึงจะห่างไกลมะเร็ง
มะเร็งผิวหนัง
พบบ่อยเป็นอันดับที่สอง เกิดจากแสงแดด โดยเฉพาะผู้ที่เคยถูกแดดเผามาก่อน แพร่กระจายช้า โดยมากมักจะหายขาดพบได้บ่อยมีสามชนิดคือ basalcell carcinoma Squamous cell carcunoma Malignant melanoma
โรคมะเร็งเป็นโรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งมีมลภาวะจากการพัฒนาประเทศ และประชาชนขาดความเอาใจใส่ต่อสุขภาพตนเอง ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่เลือก เหล่าเป็นสาเหตุให้มะเร็งเพิ่มขึ้น
โรคมะเร็งเป็นโรคที่ป้องกันได้ และสามารถรักษาให้หายขาดได้หากสามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่เริ่มเป็น เนื้อหาที่นำเสนอจะเป็นแนวทางการตรวจและวินิจฉัย พร้อมทั้งแผนการรักษา ท่านผู้อ่านควรทำความเข้าใจ และนำความรู้ที่ได้ปรึกษาแพทย์ของท่านเกี่ยวกับวิธีรักษาของมะเร็งแต่ละชนิด
โรคมะเร็งคืออะไร
ร่างกายเราประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ อวัยวะจะประกอบด้วยเซลล์ กลุ่มของเซลล์ที่มีรูปร่างและทำหน้าที่เหมือนกันรวมตัวกันจะเป็นอวัยวะ หลายอวัยวะมาทำงานร่วมกันเป็นระบบ หลายๆระบบทำงานร่วมกันเป็นร่างกายของคนเรา เซลล์ต่างๆจะมีอายุเมื่อตายก็จะมีเซลล์ใหม่เจริญทดแทนเซลล์เก่า
เซลล์ที่สร้างใหม่ไม่หยุดเราเรียกเนื้องอกซึ่งแบ่งเป็น เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงหรือทางการแพทย์เรียก Benign tumor ส่วนมะเร็งที่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่นๆเรียกมะเร็ง
ชนิดของมะเร็ง
ชนิดของมะเร็งจะแบ่งตามชนิดของเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิด เช่น
carcinomas เซลล์ต้นกำเนิดเกิดเซลล์บุผิว (epithelium)มะเร็งชนิดนี้เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดประมาณร้อยละ 85
Sarcomas เป็นมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อผูกพัน(connective tissue) เช่นกล้ามเนื้อ กระดูก ไขมัน
leukemia/lymphoma เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือด
มะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งสมอง
คนเราเป็นโรคมะเร็งชนิดไหนมาก
ผู้ชายเราพบมะเร็ง
มะเร็งปอด 19%
มะเร็งต่อมลูกหมาก 17 %
มะเร็งลำไส้ใหญ่ 14 %
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ 7 %
ผู้หญิง
มะเร็งเต้านม 29%
มะเร็งลำไส้ใหญ่ 12%
มะเร็งปอด 11%
มะเร็งรังไข่ 5%
การรักษาโรคมะเร็ง
การเฝ้าติดตาม
เมื่อบอกว่าเป็นมะเร็งคนทั่วไปมักจะคิดว่าต้องผ่าตัด หรือให้เคมีบำบัด แต่มีมะเร็งบางประเภทที่ไม่แพร่กระจาย และเจริญเติบโตช้ามาก การรักาาจึงเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของมะเร็ง
การผ่าตัด
การผ่าตัดจะผ่าเอาเนื้องอกออกจากร่างกาย นอกจากนั้นบางรายอาจจะต้องผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งที่แพร่กระจายออกให้หมด อ่านที่นี่
การฉายแสง
คือการใช้รังสีรักษาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งแต่มีผลกับเซลล์ปกติน้อย อาการข้างเคียงคืออาการอ่อนเพลียไม่มีแรง
เคมีบำบัด
คือการให้สารเคมีหรือยาที่ทำลายเซลล์มะเร็งมีทั้งยาเม็ด ยาน้ำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นยาฉีด มะเร็งบางชนิดให้ยาเพียงชนิดเดียวแต่ว่วนใหญ่จะยาสองชนิดขึ้นไป
การให้ฮอร์โมน
มะเร็งบางชนิดจะแบ่งตัวเมื่อมีฮอร์โมน การให้ยาเพื่อเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนทำให้เซลล์หยุดการเจริญเติบโต ส่วนใหญ่จะใช้รักษามะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
การรักษาอื่นๆ
เช่นการให้ภูมิเพื่อทำลายเซลล์เช่น interferon เป็นต้น
การเจาะเลือดเพื่อตรวจมะเร็ง
การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาโรคมะเร็งหรือที่เรียกว่า Tumor marker เป็นสารซึ่งอาจจะเจอในเลือด ปัสสาวะ เนื้อเยื่อต่างๆ มากกว่าปกติสารเหล่านี้ถูกสร้างโดยเนื้อมะเร็ง หรือปฏิกิริยาของร่างกายต่อมะเร็ง และจากเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง
มะเร็งเต้านม
คุณผู้หญิงควรจะอ่านทุกคนครับ ท่านจะได้ทราบถึงปัจจัยเสี่ยง แนวทางการค้นหาโรคในระยะเริ่มต้น รวมทั้งวิธีการผ่าตัดและวิธีการรักษาอย่างอื่น และโรคแทรกซ้อนของการรักษาแต่ละวิธี
มะเร็งลำไส้ใหญ่
พบมาก สามารถรักษาให้หายขาดถ้าวินิจฉัยได้เร็ว ท่านจะทราบปัจจัยเสี่ยง การตรวจวินิจฉัย และการรักษา
มะเร็งปากมดลูก
เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยสำหรับผู้หญิง หากพบเร็วรักษาหายขาดหากพบช้าอาจจะทำให้เสียชีวิต คุณผู้หญิงควรจะอ่านทุกคนครับ
มะเร็งปอด
อัตราการตายสูงมาก พบมากในผู้ชาย รักษาหายขาดถ้าวินิจฉัยได้เร็ว
มะเร็งตับ
ท่านที่ดื่มสุรา ท่านที่เป็นตับอักเสบเรื้อรังท่านเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ ท่านจะได้ทราบว่ามะเร็งตับมีหลายชนิด รวมทั้งอาการและการวินิจฉัย
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
เป็นมะเร็งที่พบไม่บ่อย ปัจจุบันสามารถรักษาให้หายขาด หากรักษาเร็วมีภาพเซลล์มะเร็งให้ดูครับ พร้อมทั้งอาการและวิธีการรักษา
มะเร็งไฝ
พบไม่บ่อย แพร่กระจายเร็ว ท่านจะทราบว่าไฝปกติและมะเร็งไฝแตกต่างกันอย่างไร น่าสนใจครับ
มะเร็งต่อมลูกหมาก
มะเร็งที่พบในผู้ชายโดยเฉพาะผู้สูงอายุ มักจะมีอาการปัสสาวะลำบากต้องเบ่ง การตรวจวินิจฉัยไม่ยาก
ปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็ง
เกิดจากสารเคมี การติดเชื้อ สุรา อาหาร ควรอ่านทุกคนครับเพื่อสุขภาพที่ดีของท่านและครอบครัว
อาหารต้านมะเร็ง
โรคมะเร็งนอกจากจะเป็นกรรมพันธุ์ การดำเนินชีวิตที่ไม่ระวังอาจจะชักนำท่านไปสู่โรคมะเร็ง โดยเฉพาะเรื่องอาหาร รับประทานอาหารอย่างไร ปรุงอาหารอย่างไรจึงจะห่างไกลมะเร็ง
มะเร็งผิวหนัง
พบบ่อยเป็นอันดับที่สอง เกิดจากแสงแดด โดยเฉพาะผู้ที่เคยถูกแดดเผามาก่อน แพร่กระจายช้า โดยมากมักจะหายขาดพบได้บ่อยมีสามชนิดคือ basalcell carcinoma Squamous cell carcunoma Malignant melanoma

แตงโม - แพรเรียนหลักสูตร Graphic Design
มาแล้วครับตามคำเรียกร้อง....หลังจากที่น้องแพร และน้องแตงโม 2 นักแสดงสาวคู่ซี้ได้มีโอกาสมาเรียนหลักสูตร Graphic Design เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาและทางสถาบันก็ได้นำภาพบรรยากาศการเรียนของน้องแตงโมมาให้ทุกท่านได้ชมกันก็ปรากฏว่า มีผู้เข้าชมกระทู้นั้นมากกว่า 2 หมื่นคน ภายใน 3 วัน !! แถมยังมีหลายท่านสอบถามกันมามากมายว่า " น้องโม เรียนที่สาขาไหนหรือพี่ ? อยากเจอตัวจริง"วันนี้เราก็ได้โอกาสเชิญ 2 สาวสุด Hot! มาถ่ายภาพชุดสุดพิเศษซึ่งต้องบอกว่าพิเศษเฉพาะ NetDesign จริงๆเพราะเป็นการถ่ายแบบคู่กันครั้งแรกของทั้ง 2 สาวและภาพชุดนี้ยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหน มากถึง 250 ภาพด้วยนะครับ !!พร้อมภาพน่ารักๆ เบื้องหลักการถ่ายทำด้วยครับและ Download Wallpaper น่ารักๆ ของสองสาวได้นอกจากนี้เรายังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ทั้งคู่ มาให้บรรดาแฟนคลับของทั้ง 2 สาวได้อ่านกันด้วยครับ
" น้องแตงโม "ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์" น้องแพร์ "ภิสารัตน์ วัชรคีรินทร์>> บทสัมภาษณ์น้องแพร์>> ภาพน้องแตงโม 1>> ภาพน้องแตงโม 2>> ภาพน้องแตงโม 3>> น้องแพร์ 1>> น้องแพร์ 2>> ภาพหลุดๆของ 2 สาว
NetDesign :: สวัสดีครับ น้องแตงโม น้องแพร์ช่วยแนะนำตัวเองหน่อยครับ
น้องแตงโม :: " ชื่อ ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ตอนนี้เรียนอยู่ศิลปกรรม Fashion Design ม. รังสิตค่ะ "น้องแพร์ :: " ชื่อ ภิสารัตน์ วัชรคีรินทร์ ,เรียนอยู่ที่เดียวกับแตงโมค่ะ แต่เทอมหน้าจะย้ายไปเรียนที่มศว. ประสานมิตรค่ะ "
NetDesign :: ทำไมน้องแตงโมเลือกGraphic Design ครับ ?
น้องแตงโม :: " จริงๆ โมก็ใช้คอมพิวเตอร์ และ เล่น netเป็นประจำอยู่แล้ว และเราเองก็เรียนด้านนี้อยู่ก็เลยอยากมีความรู้ด้านกราฟฟิกเพิ่มก็เลยลองหาที่เรียนดู ถามแพร์ แพร์ก็แนะนำที่NetDesign ค่ะ"
น้องแพร์ :: " เพื่อนๆ ของแพร์เคยมาเรียน Maya และก็Web Design มาก่อนค่ะ พอโมมาถามก็เลยแนะนำให้มาเรียนที่นี่ค่ะ "
NetDesign :: แล้วแตงโม มีเวลาว่างมาเรียนหรือครับ ?
น้องแตงโม :: " จริงๆ ช่วงนี้งานโมเยอะมากกกกก็ต้องแบ่งเวลาค่ะโมเลือกเรียนรอบที่เรียนทุกวัน จันทร์-ศุกร์ ช่วงเช้า ที่เมเจอร์ รัชโยธิน แต่ 3 ครั้งแรกเรียนไม่ได้ ติดงานก็เลยไปเรียนเสริมที่สาขา โลตัส บางกะปิค่ะ "NetDesign :: ตอนนี้เรียนจบแล้วหรือครับ ?น้องแตงโม :: " ค่ะ โมเรียนตอนเดือน ธันวาแต่ 2 ครั้งสุดท้ายขาดเรียนไปเพราะติดงานจริงๆ คงต้องหาวันมาเรียนเสริมค่ะ "NetDesign :: ที่เรียนไปยากไหมครับ ?น้องแตงโม :: " โมว่าไม่ยากนะ โมว่าโปรแกรม Illusสนุกดีค่ะ แต่ Photoshop ก็งงๆนิดหน่อยค่ะคิดว่าต้องกลับไปฝึกบ่อยๆ ไม่งั้นเดี๋ยวลืม ถ้าได้เรียนทุกวันจะจำได้ง่ายกว่าค่ะ"NetDesign :: อาจารย์ ว๋ง กับ อาจารย์ ต้น( ที่สอนน้องแตงโม ) ฝากชมว่า น้องโม หัวไวเรียนเข้าใจเร็วกว่าเพื่อนๆในห้องอีกน้องแตงโม :: " ^_^ ขอบคุณค่ะ"NetDesign :: ถ้าฝึกเก่งๆ แล้วมาสมัครเป็นอาจารย์ที่NetDesign ดีไหมครับ ?น้องแตงโม :: " ^_^ สงสัยต้องฝึกอีกเยอะเลยค่ะ ถ้าฝึกเก่งแล้วจะออกจากวงการ มาสมัครเป็นอาจารย์ประจำเลยค่ะ ^_^ "NetDesign :: แล้วตอนนี้มีงานอะไรกันบ้างครับ ?น้องแพร์ :: " ตอนนี้กำลังจะมีหนังใหญ่เรื่องแรกของแพร์ชื่อเรื่อง " ก็เคยสัญญา " ของ ค่ายแม็ทชิ่ง โมชั่น พิคเจอร์สค่ะน้องแตงโม :: " ตอนนี้กำลังถ่ายละครอยู่ 3-4 เรื่องค่ะทางช่อง 7 แล้วก็มีหนังใหญ่ เรื่องนึง ค่ะ "
มาแล้วครับตามคำเรียกร้อง....หลังจากที่น้องแพร และน้องแตงโม 2 นักแสดงสาวคู่ซี้ได้มีโอกาสมาเรียนหลักสูตร Graphic Design เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาและทางสถาบันก็ได้นำภาพบรรยากาศการเรียนของน้องแตงโมมาให้ทุกท่านได้ชมกันก็ปรากฏว่า มีผู้เข้าชมกระทู้นั้นมากกว่า 2 หมื่นคน ภายใน 3 วัน !! แถมยังมีหลายท่านสอบถามกันมามากมายว่า " น้องโม เรียนที่สาขาไหนหรือพี่ ? อยากเจอตัวจริง"วันนี้เราก็ได้โอกาสเชิญ 2 สาวสุด Hot! มาถ่ายภาพชุดสุดพิเศษซึ่งต้องบอกว่าพิเศษเฉพาะ NetDesign จริงๆเพราะเป็นการถ่ายแบบคู่กันครั้งแรกของทั้ง 2 สาวและภาพชุดนี้ยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหน มากถึง 250 ภาพด้วยนะครับ !!พร้อมภาพน่ารักๆ เบื้องหลักการถ่ายทำด้วยครับและ Download Wallpaper น่ารักๆ ของสองสาวได้นอกจากนี้เรายังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ทั้งคู่ มาให้บรรดาแฟนคลับของทั้ง 2 สาวได้อ่านกันด้วยครับ
" น้องแตงโม "ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์" น้องแพร์ "ภิสารัตน์ วัชรคีรินทร์>> บทสัมภาษณ์น้องแพร์>> ภาพน้องแตงโม 1>> ภาพน้องแตงโม 2>> ภาพน้องแตงโม 3>> น้องแพร์ 1>> น้องแพร์ 2>> ภาพหลุดๆของ 2 สาว
NetDesign :: สวัสดีครับ น้องแตงโม น้องแพร์ช่วยแนะนำตัวเองหน่อยครับ
น้องแตงโม :: " ชื่อ ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ตอนนี้เรียนอยู่ศิลปกรรม Fashion Design ม. รังสิตค่ะ "น้องแพร์ :: " ชื่อ ภิสารัตน์ วัชรคีรินทร์ ,เรียนอยู่ที่เดียวกับแตงโมค่ะ แต่เทอมหน้าจะย้ายไปเรียนที่มศว. ประสานมิตรค่ะ "
NetDesign :: ทำไมน้องแตงโมเลือกGraphic Design ครับ ?
น้องแตงโม :: " จริงๆ โมก็ใช้คอมพิวเตอร์ และ เล่น netเป็นประจำอยู่แล้ว และเราเองก็เรียนด้านนี้อยู่ก็เลยอยากมีความรู้ด้านกราฟฟิกเพิ่มก็เลยลองหาที่เรียนดู ถามแพร์ แพร์ก็แนะนำที่NetDesign ค่ะ"
น้องแพร์ :: " เพื่อนๆ ของแพร์เคยมาเรียน Maya และก็Web Design มาก่อนค่ะ พอโมมาถามก็เลยแนะนำให้มาเรียนที่นี่ค่ะ "
NetDesign :: แล้วแตงโม มีเวลาว่างมาเรียนหรือครับ ?
น้องแตงโม :: " จริงๆ ช่วงนี้งานโมเยอะมากกกกก็ต้องแบ่งเวลาค่ะโมเลือกเรียนรอบที่เรียนทุกวัน จันทร์-ศุกร์ ช่วงเช้า ที่เมเจอร์ รัชโยธิน แต่ 3 ครั้งแรกเรียนไม่ได้ ติดงานก็เลยไปเรียนเสริมที่สาขา โลตัส บางกะปิค่ะ "NetDesign :: ตอนนี้เรียนจบแล้วหรือครับ ?น้องแตงโม :: " ค่ะ โมเรียนตอนเดือน ธันวาแต่ 2 ครั้งสุดท้ายขาดเรียนไปเพราะติดงานจริงๆ คงต้องหาวันมาเรียนเสริมค่ะ "NetDesign :: ที่เรียนไปยากไหมครับ ?น้องแตงโม :: " โมว่าไม่ยากนะ โมว่าโปรแกรม Illusสนุกดีค่ะ แต่ Photoshop ก็งงๆนิดหน่อยค่ะคิดว่าต้องกลับไปฝึกบ่อยๆ ไม่งั้นเดี๋ยวลืม ถ้าได้เรียนทุกวันจะจำได้ง่ายกว่าค่ะ"NetDesign :: อาจารย์ ว๋ง กับ อาจารย์ ต้น( ที่สอนน้องแตงโม ) ฝากชมว่า น้องโม หัวไวเรียนเข้าใจเร็วกว่าเพื่อนๆในห้องอีกน้องแตงโม :: " ^_^ ขอบคุณค่ะ"NetDesign :: ถ้าฝึกเก่งๆ แล้วมาสมัครเป็นอาจารย์ที่NetDesign ดีไหมครับ ?น้องแตงโม :: " ^_^ สงสัยต้องฝึกอีกเยอะเลยค่ะ ถ้าฝึกเก่งแล้วจะออกจากวงการ มาสมัครเป็นอาจารย์ประจำเลยค่ะ ^_^ "NetDesign :: แล้วตอนนี้มีงานอะไรกันบ้างครับ ?น้องแพร์ :: " ตอนนี้กำลังจะมีหนังใหญ่เรื่องแรกของแพร์ชื่อเรื่อง " ก็เคยสัญญา " ของ ค่ายแม็ทชิ่ง โมชั่น พิคเจอร์สค่ะน้องแตงโม :: " ตอนนี้กำลังถ่ายละครอยู่ 3-4 เรื่องค่ะทางช่อง 7 แล้วก็มีหนังใหญ่ เรื่องนึง ค่ะ "

เคล็ดลับหน้าสวย
แผ่นมาส์คหน้าไวน์แดง
ด้วยนวัตกรรมใหม่ที่คิดค้นสารสกัดจากธรรมชาติและมีส่วนผสมของไวน์แดง ซึ่งจะให้คุณประโยชน์ลดความหมองคล้ำและริ้วรอย ด้วยส่วนผสมจากไวน์แดงจะช่วยบำรุงให้ผิวหน้าคุณชุ่มชื่นขาวกระจ่างใสไร้จุดด่างดำ จนคุณรู้สึกได้หลังจากการใช้เพียงครั้งเดียว
แผ่นมาส์คหน้าชาเขียว
ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีส่วนผสมจากชาเขียว ว่านหางจระเข้ และแตงกวา ช่วยให้ผิวกระชับฟื้นฟูผิวที่เสีย ต่อต้านอนุมูลอิสระจากแสงแดด ปราศจากสิวช่วยให้ผิวขาวเนียน อย่างเป็นธรรมชาติ
แผ่นมาส์ครอบดวงตาไวน์แดง
ด้วยการคิดค้น สารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีส่วนผสมของไวน์แดง ที่มีคุณประโยชน์ทำให้ผิวที่เกิดจุดด่างดำ ลดลง และช่วยให้รอบดวงตาไม่หมองคล้ำ ลดรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา
นอกจากคุณมีใบหน้าที่สวยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คุณไม่ควรละเลยก็คือ ใต้ดวงตาของคุณ การที่คุณไปพบปะหน้าผู้คน สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดสนใจของคนทั่วไปก็คงจะเป็นดวงตาของคุณ ผิวใต้ดวงจะบางและอ่อนโยนที่สุด ดังนั้นคุณควรดูแลให้เป็นอย่างดีเช่นกัน ควรหาผลิตภัณฑ์ที่บำรุงเฉพาะรอบดวงตา ควรจะเอาใจใส่อย่างมาก รอบดวงตาเป็นที่ที่เกิดริ้วรอยได้ง่ายที่สุด ถ้าคุณไม่มีการดูแลที่ดี ควรป้องกันไว้ก่อนดีกว่าที่จะให้มันเกิดขึ้นแล้วค่อยมาแก้ทีหลัง (ขอแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับมาส์ครอบดวงตาของออยล์ลีน่า)
โฟมล้างหน้าถั่วเขียว
ด้วยส่วนผสมสารสกัดจากธรรมชาติ ของถั่วเขียว ช่วยขจัดความมันบนใบหน้าและ ล้างสิ่งตกค้างบนใบหน้าช่วยให้หน้าคุณสะอาดสดใส อย่างเป็นธรรมชาติ
เจลขจัดเซลล์ผิว
ผลิตภัณพ์ เจลขจัดเซลล์ผิว สำหรับขจัดคราบแสงแดด และขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ขจัดออกจากใบหน้าจนหมดจด ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าขาวเนียนใส มีความชุ่มชื้น
แผ่นมาส์คหน้าไวน์แดง
แผ่นมาส์คหน้าไวท์เทนนิ่ง
ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อช่วยฟื้นฟูปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ขาวสวย ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายพร้อมให้ความเย็นสบายผิวหน้า
ทำไมต้องมาส์คหน้า ?
อาจจะมีคนอีกมากที่เข้าใจว่าฉันใช้ครีมบำรุงก็พอแล้ว ซึ่งคุณอาจะไม่รู้ว่าถ้ามีการมาส์คหน้า
ก่อนใช้ครีมบำรุงจะช่วยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะช่วงที่คุณใช้แผ่นมาส์คจะทำให้รูขุมขนเปิดรับสารอาหารอย่างเต็มที่และมากที่สุด แล้วหลังการมาส์คควรใช้ครีมบำรุงของคุณทันทีเพื่อปิดรูขุมขนและให้สารอาหารแกผิวคุณ ถ้าคุณไม่ใช้แผ่นมาส์คก่อนทาผิว ผิวหน้าของคุณจะรับสารอาหารเพียงอันน้อยนิด
จำเป็นต้องมาส์คหน้าทุกวันมั้ย ?
ถ้าไม่มีปัญหาทางการเงินและคุณหาผลิตภัณฑ์ที่ถูกและเหมาะสมกับคุณแล้วหล่ะก็ ก็ให้ใช้เป็น
ประจำดีที่สุด การมาส์คหน้าทุกวันดีต่อผิวของคุณก็จริง แต่คุณต้องทำความเข้าใจวิธีการมาส์คหน้าอย่างเข้มงวด อย่ามาส์คหน้าทุกวันด้วยแผ่นมาส์คชนิดเดียวกันทุกวัน จะทำให้การมาส์คหน้าของคุณมีประสิทธิภาพลดน้อยลง โดยผู้วิจัยมีการวิเคราะห์ว่าการใช้แผ่นมาส์คควบคู่กับการมาของรอบเดือนของคุณ จะทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (ท่านผู้มีปัญหาทางการเงินให้มาส์คทุกวันในช่วงแรก หลังจากนั้นให้มาส์คหน้าอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง)
3. รูปกราฟสภาพผิวในรอบ 1 เดือน
เพียงแค่คุณใช้เคล็ดลับเหล่านี้ให้ถูกต้อง จะทำให้คุณมีผิวหน้าสวยขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
4. วิธีการมาส์คหน้าที่ควบคู่กับรอบเดือนและสภาพผิวของคุณ
ใหม่ล่าสุดจากนักวิจัยพบว่าการใช้แผ่นมาส์คหน้าควบคูกับรอบเดือนและสภาพผิวของคุณจะช่วยให้การมาส์คหน้าของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในช่วงเวลาในการมีรอบเดือนคุณจะรู้สึกว่าร่างกายของคุณอ่อนเพลียง่าย เนื่องจากร่างกายของคุณขาดน้ำอย่างมากประกอบกับโลหิตที่ไหลเวียนอย่างมาก ผู้ที่อายุ 30 ขึ้นไปควรระวังในเรื่องการมาส์คหน้าอย่างมากที่สุด แล้วหลังการมาส์คหน้าควรใช้ครีมบำรุงผิวที่ใช้อยู่ทันที เพื่อให้ผิวหน้าของคุณมีความชุ่มชื่น
ช่วงสัปดาห์ที่ 1 ในการมีรอบเดือนขอแนะนำให้ใช้แผ่นมาส์คโยเกิร์ตและนมอออยล์ลีน่า
ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 หลังมีรอบเดือนของคุณ ควรให้อาหารผิวชนิดที่มีส่วนผสมบำรุงอย่างมาก เช่น ไวน์แดง เป็นต้น ไม่ว่าจะบำรุงอาหารผิวหรืออาหารกายก็ตามให้บำรุงอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวและร่างกายของคุณมีการบำรุงอย่างดี จะส่งผลให้ใบหน้าของคุณมีสีผิวที่มีสุขภาพที่ดีอย่างเป็นธรรมชาติ
(ช่วงสัปดาห์ที่ 2 แนะนำให้ใช้แผ่นมาส์คหน้าไวน์แดงไวน์เทนนิ่งของออยล์ลีน่า)
ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 คุณจะรูสึกว่าผิวของคุณสดใสที่สุดในรอบเดือน แต่คุณอย่าคิดว่าผิวคุณไม่ต้องบำรุงอีกแล้ว นั่นคือคุณคิดผิดนะคะ ดังนั้นเวลานี้คุณควรให้อาหารผิวด้วยเพื่อให้ผิวหน้าของคุณคงความสดใสแบบนี้ คุณควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินC ให้ผิวหน้าของคุณขาวใสและป้องกันการเกิดฝ้าและกระด้วย
(ช่วงสัปดาห์ที่ 3 แนะนำให้ใช้แผ่นมาส์คหน้าขาวของออยล์ลีน่า)
ในช่วงสัปดาห์สุดท้าย เป็นเวลาก่อน 1 อาทิตย์ ที่รอบเดือนของคุณจะมา คุณควรเตรียมตัวป้องกันการเกิดสิวที่ใบหน้า ในช่วงเวลานี้ผู้หญิงโดยส่วนใหญ่จะมีอาการเกิดสิวอย่างมากที่สุด ฉะนั้นคุณควรป้องกันผิวคุณด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของชาเขียว แตงกวา ว่านหางจระเข้ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดสิวได้เป็นอย่างดี
(ช่วงสัปดาห์ที่ 4 แนะนำให้ใช้แผ่นมาส์คหน้าชาเขียว แต่ถ้าอายุ 30 ปีขึ้นไปแนะนำให้ใช้ Q10 ของออยล์ลีน่า)
แผ่นมาส์คหน้าไวน์แดง
ด้วยนวัตกรรมใหม่ที่คิดค้นสารสกัดจากธรรมชาติและมีส่วนผสมของไวน์แดง ซึ่งจะให้คุณประโยชน์ลดความหมองคล้ำและริ้วรอย ด้วยส่วนผสมจากไวน์แดงจะช่วยบำรุงให้ผิวหน้าคุณชุ่มชื่นขาวกระจ่างใสไร้จุดด่างดำ จนคุณรู้สึกได้หลังจากการใช้เพียงครั้งเดียว
แผ่นมาส์คหน้าชาเขียว
ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีส่วนผสมจากชาเขียว ว่านหางจระเข้ และแตงกวา ช่วยให้ผิวกระชับฟื้นฟูผิวที่เสีย ต่อต้านอนุมูลอิสระจากแสงแดด ปราศจากสิวช่วยให้ผิวขาวเนียน อย่างเป็นธรรมชาติ
แผ่นมาส์ครอบดวงตาไวน์แดง
ด้วยการคิดค้น สารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีส่วนผสมของไวน์แดง ที่มีคุณประโยชน์ทำให้ผิวที่เกิดจุดด่างดำ ลดลง และช่วยให้รอบดวงตาไม่หมองคล้ำ ลดรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา
นอกจากคุณมีใบหน้าที่สวยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คุณไม่ควรละเลยก็คือ ใต้ดวงตาของคุณ การที่คุณไปพบปะหน้าผู้คน สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดสนใจของคนทั่วไปก็คงจะเป็นดวงตาของคุณ ผิวใต้ดวงจะบางและอ่อนโยนที่สุด ดังนั้นคุณควรดูแลให้เป็นอย่างดีเช่นกัน ควรหาผลิตภัณฑ์ที่บำรุงเฉพาะรอบดวงตา ควรจะเอาใจใส่อย่างมาก รอบดวงตาเป็นที่ที่เกิดริ้วรอยได้ง่ายที่สุด ถ้าคุณไม่มีการดูแลที่ดี ควรป้องกันไว้ก่อนดีกว่าที่จะให้มันเกิดขึ้นแล้วค่อยมาแก้ทีหลัง (ขอแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับมาส์ครอบดวงตาของออยล์ลีน่า)
โฟมล้างหน้าถั่วเขียว
ด้วยส่วนผสมสารสกัดจากธรรมชาติ ของถั่วเขียว ช่วยขจัดความมันบนใบหน้าและ ล้างสิ่งตกค้างบนใบหน้าช่วยให้หน้าคุณสะอาดสดใส อย่างเป็นธรรมชาติ
เจลขจัดเซลล์ผิว
ผลิตภัณพ์ เจลขจัดเซลล์ผิว สำหรับขจัดคราบแสงแดด และขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ขจัดออกจากใบหน้าจนหมดจด ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าขาวเนียนใส มีความชุ่มชื้น
แผ่นมาส์คหน้าไวน์แดง
แผ่นมาส์คหน้าไวท์เทนนิ่ง
ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อช่วยฟื้นฟูปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ขาวสวย ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายพร้อมให้ความเย็นสบายผิวหน้า
ทำไมต้องมาส์คหน้า ?
อาจจะมีคนอีกมากที่เข้าใจว่าฉันใช้ครีมบำรุงก็พอแล้ว ซึ่งคุณอาจะไม่รู้ว่าถ้ามีการมาส์คหน้า
ก่อนใช้ครีมบำรุงจะช่วยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะช่วงที่คุณใช้แผ่นมาส์คจะทำให้รูขุมขนเปิดรับสารอาหารอย่างเต็มที่และมากที่สุด แล้วหลังการมาส์คควรใช้ครีมบำรุงของคุณทันทีเพื่อปิดรูขุมขนและให้สารอาหารแกผิวคุณ ถ้าคุณไม่ใช้แผ่นมาส์คก่อนทาผิว ผิวหน้าของคุณจะรับสารอาหารเพียงอันน้อยนิด
จำเป็นต้องมาส์คหน้าทุกวันมั้ย ?
ถ้าไม่มีปัญหาทางการเงินและคุณหาผลิตภัณฑ์ที่ถูกและเหมาะสมกับคุณแล้วหล่ะก็ ก็ให้ใช้เป็น
ประจำดีที่สุด การมาส์คหน้าทุกวันดีต่อผิวของคุณก็จริง แต่คุณต้องทำความเข้าใจวิธีการมาส์คหน้าอย่างเข้มงวด อย่ามาส์คหน้าทุกวันด้วยแผ่นมาส์คชนิดเดียวกันทุกวัน จะทำให้การมาส์คหน้าของคุณมีประสิทธิภาพลดน้อยลง โดยผู้วิจัยมีการวิเคราะห์ว่าการใช้แผ่นมาส์คควบคู่กับการมาของรอบเดือนของคุณ จะทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (ท่านผู้มีปัญหาทางการเงินให้มาส์คทุกวันในช่วงแรก หลังจากนั้นให้มาส์คหน้าอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง)
3. รูปกราฟสภาพผิวในรอบ 1 เดือน
เพียงแค่คุณใช้เคล็ดลับเหล่านี้ให้ถูกต้อง จะทำให้คุณมีผิวหน้าสวยขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
4. วิธีการมาส์คหน้าที่ควบคู่กับรอบเดือนและสภาพผิวของคุณ
ใหม่ล่าสุดจากนักวิจัยพบว่าการใช้แผ่นมาส์คหน้าควบคูกับรอบเดือนและสภาพผิวของคุณจะช่วยให้การมาส์คหน้าของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในช่วงเวลาในการมีรอบเดือนคุณจะรู้สึกว่าร่างกายของคุณอ่อนเพลียง่าย เนื่องจากร่างกายของคุณขาดน้ำอย่างมากประกอบกับโลหิตที่ไหลเวียนอย่างมาก ผู้ที่อายุ 30 ขึ้นไปควรระวังในเรื่องการมาส์คหน้าอย่างมากที่สุด แล้วหลังการมาส์คหน้าควรใช้ครีมบำรุงผิวที่ใช้อยู่ทันที เพื่อให้ผิวหน้าของคุณมีความชุ่มชื่น
ช่วงสัปดาห์ที่ 1 ในการมีรอบเดือนขอแนะนำให้ใช้แผ่นมาส์คโยเกิร์ตและนมอออยล์ลีน่า
ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 หลังมีรอบเดือนของคุณ ควรให้อาหารผิวชนิดที่มีส่วนผสมบำรุงอย่างมาก เช่น ไวน์แดง เป็นต้น ไม่ว่าจะบำรุงอาหารผิวหรืออาหารกายก็ตามให้บำรุงอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวและร่างกายของคุณมีการบำรุงอย่างดี จะส่งผลให้ใบหน้าของคุณมีสีผิวที่มีสุขภาพที่ดีอย่างเป็นธรรมชาติ
(ช่วงสัปดาห์ที่ 2 แนะนำให้ใช้แผ่นมาส์คหน้าไวน์แดงไวน์เทนนิ่งของออยล์ลีน่า)
ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 คุณจะรูสึกว่าผิวของคุณสดใสที่สุดในรอบเดือน แต่คุณอย่าคิดว่าผิวคุณไม่ต้องบำรุงอีกแล้ว นั่นคือคุณคิดผิดนะคะ ดังนั้นเวลานี้คุณควรให้อาหารผิวด้วยเพื่อให้ผิวหน้าของคุณคงความสดใสแบบนี้ คุณควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินC ให้ผิวหน้าของคุณขาวใสและป้องกันการเกิดฝ้าและกระด้วย
(ช่วงสัปดาห์ที่ 3 แนะนำให้ใช้แผ่นมาส์คหน้าขาวของออยล์ลีน่า)
ในช่วงสัปดาห์สุดท้าย เป็นเวลาก่อน 1 อาทิตย์ ที่รอบเดือนของคุณจะมา คุณควรเตรียมตัวป้องกันการเกิดสิวที่ใบหน้า ในช่วงเวลานี้ผู้หญิงโดยส่วนใหญ่จะมีอาการเกิดสิวอย่างมากที่สุด ฉะนั้นคุณควรป้องกันผิวคุณด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของชาเขียว แตงกวา ว่านหางจระเข้ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดสิวได้เป็นอย่างดี
(ช่วงสัปดาห์ที่ 4 แนะนำให้ใช้แผ่นมาส์คหน้าชาเขียว แต่ถ้าอายุ 30 ปีขึ้นไปแนะนำให้ใช้ Q10 ของออยล์ลีน่า)

โยคะใบหน้า
โยคะใบหน้าเป็นการนวดหน้าที่มีระบบ มีการกดจุด พร้อมกับการหายใจเข้า-ออก เพื่อช่วยผ่อนคลายให้กับผิวหน้า ทำให้ริ้วรอยจางลง การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น คงความอ่อนเยาว์ และทำให้ผิวตึงตัวไม่หย่อนคล้อย เริ่มบริหารใบหน้าด้วยโยคะกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อชะลอความเสื่อมโทรมของผิวให้ช้าลง ความเปล่งปลั่งสวยงามจะได้อยู่กับคุณนานเท่านาน
เริ่มต้นด้วยการล้างหน้าและทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ซึ่งจะช่วยให้การลูบผิวเพื่อการทำโยคะหน้าเป็นไปได้ง่ายขึ้น...1. ยืดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของใบหน้า ทำท่าละ 3-5 ครั้ง โดยช่วงที่กดลูบให้หายใจเข้า เมื่อปล่อยให้หายใจออกหน้าผาก ยืดกล้ามเนื้อโดยใช้นิ้วชี้กดตรงโคนผมเพื่อให้ผิวยืด จากนั้นใช้นิ้วกลางหรือนิ้วนางกดลูบผิวลงมาบริเวณหน้าผากช้าๆระหว่างคิ้ว ใช้นิ้วที่ถนัดวางที่หว่างคิ้ว กดเบาๆ แล้วลูบออกไปด้านข้าง ระวังอย่ากดแรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดรอยช้ำได้จมูก ลูบบริเวณสันจมูกจากบนลงล่าง จากนั้นลูบออกด้านข้างตามแนวของกล้ามเนื้อรอบดวงตา กดที่หัวตาเบาๆ แล้วลูบออกไปทางด้านข้าง ทั้งด้านบนและด้านล่างรอบริมฝีปาก ใช้นิ้วกดเบาๆ ที่มุมปาก ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของอีกมือหนึ่งค่อยๆ ลูบออกไปทั้ง 4 ทิศทาง คือ เฉียงขึ้นไปทางไรผม ด้านข้างตรงไปถึงติ่งหู เฉียงลงทางขากรรไกร และลงไปที่ปลายคาง ทำสลับกันทั้ง 2 ข้างคอและคาง วางมือบนปุ่มกระดูกไหปลาร้า แล้วลากมือเฉียงผ่านลำคอขึ้นไปข้างๆ ใบหน้าจนถึงหู จากนั้นวางมือบริเวณกระดูกขากรรไกร ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางนวดแนวกระดูกขากรรไกรจากคางขึ้นไปถึงหู2. เมื่อยืดกล้ามเนื้อใบหน้าเสร็จแล้ว ให้ออกกำลังกล้ามเนื้อใบหน้าต่อ โดยพยายามเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ ให้มากที่สุดหน้าผาก ย่นหน้าผากขึ้นเต็มที่ ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที แล้วปล่อย ทำซ้ำประมาณ 3-5 ครั้ง รอบดวงตา หยีตาหรือหลับตาปี๋ให้เต็มที่ริมฝีปาก ยิ้มเต็มที่แบบสุดๆจมูก ย่นจมูกให้อวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าย่นเข้าหากันเมื่อออกกำลังกล้ามเนื้อใบหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ต่อด้วยการยืดกล้ามเนื้อตลอดทั้งลำตัวเพื่อให้เป็นการจบที่เสร็จสมบูรณ์
โยคะใบหน้าเป็นการนวดหน้าที่มีระบบ มีการกดจุด พร้อมกับการหายใจเข้า-ออก เพื่อช่วยผ่อนคลายให้กับผิวหน้า ทำให้ริ้วรอยจางลง การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น คงความอ่อนเยาว์ และทำให้ผิวตึงตัวไม่หย่อนคล้อย เริ่มบริหารใบหน้าด้วยโยคะกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อชะลอความเสื่อมโทรมของผิวให้ช้าลง ความเปล่งปลั่งสวยงามจะได้อยู่กับคุณนานเท่านาน
เริ่มต้นด้วยการล้างหน้าและทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ซึ่งจะช่วยให้การลูบผิวเพื่อการทำโยคะหน้าเป็นไปได้ง่ายขึ้น...1. ยืดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของใบหน้า ทำท่าละ 3-5 ครั้ง โดยช่วงที่กดลูบให้หายใจเข้า เมื่อปล่อยให้หายใจออกหน้าผาก ยืดกล้ามเนื้อโดยใช้นิ้วชี้กดตรงโคนผมเพื่อให้ผิวยืด จากนั้นใช้นิ้วกลางหรือนิ้วนางกดลูบผิวลงมาบริเวณหน้าผากช้าๆระหว่างคิ้ว ใช้นิ้วที่ถนัดวางที่หว่างคิ้ว กดเบาๆ แล้วลูบออกไปด้านข้าง ระวังอย่ากดแรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดรอยช้ำได้จมูก ลูบบริเวณสันจมูกจากบนลงล่าง จากนั้นลูบออกด้านข้างตามแนวของกล้ามเนื้อรอบดวงตา กดที่หัวตาเบาๆ แล้วลูบออกไปทางด้านข้าง ทั้งด้านบนและด้านล่างรอบริมฝีปาก ใช้นิ้วกดเบาๆ ที่มุมปาก ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของอีกมือหนึ่งค่อยๆ ลูบออกไปทั้ง 4 ทิศทาง คือ เฉียงขึ้นไปทางไรผม ด้านข้างตรงไปถึงติ่งหู เฉียงลงทางขากรรไกร และลงไปที่ปลายคาง ทำสลับกันทั้ง 2 ข้างคอและคาง วางมือบนปุ่มกระดูกไหปลาร้า แล้วลากมือเฉียงผ่านลำคอขึ้นไปข้างๆ ใบหน้าจนถึงหู จากนั้นวางมือบริเวณกระดูกขากรรไกร ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางนวดแนวกระดูกขากรรไกรจากคางขึ้นไปถึงหู2. เมื่อยืดกล้ามเนื้อใบหน้าเสร็จแล้ว ให้ออกกำลังกล้ามเนื้อใบหน้าต่อ โดยพยายามเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ ให้มากที่สุดหน้าผาก ย่นหน้าผากขึ้นเต็มที่ ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที แล้วปล่อย ทำซ้ำประมาณ 3-5 ครั้ง รอบดวงตา หยีตาหรือหลับตาปี๋ให้เต็มที่ริมฝีปาก ยิ้มเต็มที่แบบสุดๆจมูก ย่นจมูกให้อวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าย่นเข้าหากันเมื่อออกกำลังกล้ามเนื้อใบหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ต่อด้วยการยืดกล้ามเนื้อตลอดทั้งลำตัวเพื่อให้เป็นการจบที่เสร็จสมบูรณ์
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

